แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 76
1
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


2
ฟรีแลนซ์โพสต์ฟรี / Doctor At Home: ตะกั่วเป็นพิษ (Lead poisoning)
« เมื่อ: วันที่ 6 ตุลาคม 2025, 23:00:27 น. »
Doctor At Home: ตะกั่วเป็นพิษ (Lead poisoning)

ตะกั่ว เป็นสารโลหะหนักที่ร่างกายรับเข้าไปในปริมาณมากเกินอาจมีพิษต่อระบบประสาทและสมอง และระบบต่าง ๆ เรียกว่า ภาวะตะกั่วเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

สาเหตุ

เกิดจากการสูดไอตะกั่ว หรือกินหรือสัมผัสสารตะกั่ว (ดูดซึมผ่านผิวหนัง) เป็นเวลานาน จนร่างกายมีการสะสมสารตะกั่วถึงระดับที่เป็นพิษ

มักเกิดจากการประกอบอาชีพในโรงงานที่มีสารตะกั่ว หรือเกิดจากความประมาทเลินเล่อ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเกิดจากการเล่นซนของเด็ก ๆ

ในบ้านเราอาจพบการรับพิษสารตะกั่วจากแหล่งต่าง ๆ เช่น

1. ทำงานในโรงงานทำแบตเตอรี่หรือถ่านไฟฉาย ร้านอัดแบตเตอรี่ หรือขายแบตเตอรี่ ร้านเจียระไนเพชรพลอย (ซึ่งมีเครื่องมือที่มีตะกั่วเป็นส่วนประกอบ) โรงพิมพ์ที่ใช้ตัวพิมพ์ทำจากสารตะกั่ว ร้านเชื่อมโลหะ เป็นต้น

2. ใช้เปลือกแบตเตอรี่ที่ทิ้งแล้วมาเป็นเชื้อเพลิงเคี่ยวน้ำตาล หรือมาปูลาดเป็นทางเดิน

3. ดื่มน้ำที่มีสารตะกั่วเจือปน เช่น น้ำจากบ่อที่แปดเปื้อนสารตะกั่ว หรือน้ำจากท่อที่มีส่วนผสมของตะกั่วมากเกินไป

4. สีทาบ้านและสีที่ใช้ทาของเล่นที่มีสารตะกั่วเจือปน เด็กอาจหยิบกินโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

5. แป้งทาเด็กที่มีสารตะกั่วเจือปน (เช่น ร้านขายยานำแป้งที่ใช้ผสมสีทาบ้านมาขายเป็นแป้งทาแก้ผดผื่นคัน) ผู้ปกครองซื้อมาทาเด็กโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จนเกิดพิษตะกั่วเรื้อรัง

บางครั้งอาจเป็นกันทั้งครอบครัวหรือทั้งหมู่บ้าน หรือทั้งโรงงาน ถ้าหากมีการรับสารตะกั่วจากแหล่งเดียวกัน เช่น ดื่มน้ำจากบ่อเดียวกัน หรือทำงานในโรงงานเดียวกัน


อาการ

ผู้ป่วยอาจแสดงอาการได้หลายอย่าง เช่น ปวดบิดในท้องอย่างรุนแรงโดยหาสาเหตุไม่พบ ร่วมกับอาการท้องผูก หรือไม่ก็ถ่ายเป็นเลือด

อาจมีอาการซีด เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเร็วขึ้น และสร้างได้น้อยเนื่องจากพิษของตะกั่วที่มีต่อระบบเลือด

อาจมีอาการปลายประสาทอักเสบ ซึ่งจะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ที่พบได้บ่อย คือ ประสาทมือเป็นอัมพาต ทำให้ข้อมือตก เหยียดไม่ขึ้น และประสาทเท้าเป็นอัมพาต ทำให้ปลายเท้าตก เดินขาปัด

ที่ร้ายแรง ได้แก่ ภาวะผิดปกติทางสมอง ซึ่งจะพบมากในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ส่วนผู้ใหญ่พบได้น้อย เด็กจะมีอาการเดินเซ อาเจียน ซึม เพ้อ บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิมนำมาก่อน แล้วจะมีอาการชักและหมดสติ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาก็มักจะเสียชีวิตในที่สุด หรือไม่ก็อาจกลายเป็นสมองพิการและปัญญาอ่อน

ส่วนในรายที่มีพิษตะกั่วเรื้อรัง อาจมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ หงุดหงิด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ ขาเป็นตะคริว

บางรายอาจพบรอยสีเทา ๆ ดำ ๆ ของสารตะกั่วที่ขอบเหงือก ในผู้ที่ไม่มีฟันจะไม่พบอาการนี้ และในเด็กก็มีโอกาสพบอาการดังกล่าวได้น้อย


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะสมองพิการ ปัญญาอ่อน ภาวะโลหิตจาง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ และทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจดูระดับตะกั่วในเลือด (พบสูงกว่า 80 ไมโครกรัม/เลือด 100 มล.) และในปัสสาวะ (พบสูงกว่า 1 มก./ปัสสาวะ 24 ชั่วโมง) สารคอโพรพอร์ไฟริน (coproporphyrin) ในปัสสาวะจะมีค่าสูงกว่า 50 ไมโครกรัม/ปัสสาวะ 100 มล.

การตรวจดูเม็ดเลือดแดง จะพบลักษณะที่เรียกว่า basophilic stippling

การตรวจเอกซเรย์ อาจพบรอยทึบแสงของสารตะกั่วในลำไส้ และรอยสะสมของตะกั่วที่ปลายกระดูกแขนขา


การรักษาโดยแพทย์

การรักษา มักจะฉีดยาขับตะกั่ว ได้แก่ ไดเมอร์เเคปรอล (dimercaprol) ร่วมกับแคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต (calcium disodium edetate)

เมื่ออาการดีขึ้น ควรให้กินเพนิซิลลามีน (penicillamine) ต่ออีก 1-2 เดือน (ในผู้ใหญ่) หรือ 3-6 เดือน (ในเด็ก)

ผลการรักษา ถ้าไม่มีอาการทางสมอง ก็มักจะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้ามีอาการทางสมอง อาจมีอันตรายถึงทุพพลภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาจมีอัตราตายถึงร้อยละ 25


การดูแลตนเอง

หากสงสัยมีอาการจากตะกั่วเป็นพิษ เช่น ปวดท้องหรือซีดโดยหาสาเหตุไม่พบ ข้อมือตก ข้อเท้าตก เดินเซ บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เพ้อ ชัก เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคตะกั่วเป็นพิษ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารตะกั่ว (เช่น โรงงานแบตเตอรี่) ควรหามาตรการป้องกันโดยการจัดสภาพการทำงานให้ปลอดภัย (เช่น มีเสื้อคลุมป้องกันพิษตะกั่ว มีอ่างน้ำและห้องอาบน้ำพอเพียง มีทางระบายไม่ให้มีการสะสมของฝุ่นตะกั่ว) ห้ามสูบบุหรี่และกินอาหารในห้องที่มีสารตะกั่ว และควรมีการตรวจระดับตะกั่วในเลือดและปัสสาวะทุก 6 เดือน ถ้าพบว่าระดับตะกั่วสูงควรให้หยุดงาน หรือเปลี่ยนไปทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารตะกั่ว ถ้าสูงมากควรให้กินยาลดสารตะกั่ว ถึงแม้จะยังไม่มีอาการแสดงก็ตาม

2. ควรแนะนำให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงอันตรายของตะกั่วเจือปนอยู่ในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย สีทาบ้าน ของเล่นเด็ก เป็นต้น เพื่อป้องกันมิให้นำไปใช้ในทางที่ผิด ๆ หรือหาทางป้องกันมิให้เด็ก ๆ หยิบกินเล่นด้วยความไร้เดียงสาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์


ข้อแนะนำ

1. โรคตะกั่วเป็นพิษอาจมีอาการได้หลายแบบ ดังนั้น ถ้าพบผู้ที่มีอาการปวดท้อง ซีด ข้อมือตก ข้อเท้าตก บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เพ้อ ชัก หรือหมดสติ ควรถามประวัติการเกี่ยวข้องกับสารตะกั่ว หากสงสัยควรไปส่งตรวจรักษาที่โรงพยาบาล

2. ผู้ที่มีอาการผิดปกติทางสมองเนื่องจากตะกั่วเป็นพิษ อยู่ ๆ อาจแสดงอาการแปลก ๆ เช่น เพ้อ คลุ้มคลั่ง ชัก ชาวบ้านอาจเข้าใจผิดว่าเกิดจาก "ผีเข้า" หรือ "วิกลจริต" แล้วพาไปรักษาทางไสยศาสตร์ ซึ่งมักจะเสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ทางที่ดีควรหาทางชักจูงให้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล เพราะมีทางรักษาให้หายได้

3
ฟรีแลนซ์โพสต์ฟรี / Doctor At Home: ซิฟิลิส (syphilis)
« เมื่อ: วันที่ 6 ตุลาคม 2025, 22:13:25 น. »
Doctor At Home: ซิฟิลิส (syphilis)

ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อหลายระบบและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้มากกว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ และมีระยะแฝงตัวของโรคที่ค่อนข้างยาวนาน ซึ่งสามารถแพร่ให้คู่สมรสและทารกในครรภ์ได้

โรคนี้พบได้บ่อยรองจากหนองใน

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อซิฟิลิส ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เทรโพนีมาพัลลิดัม (Treponema pallidum) ติดต่อโดยการร่วมเพศ เชื้อจะเข้าทางรอยถลอกหรือบาดแผลเล็กน้อย หรืออาจไชเข้าเยื่อบุผิวของท่อปัสสาวะ ทวารหนัก ช่องคลอดหรือช่องปาก รวมทั้งการแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์

อาการ

โรคนี้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 เป็นแผล หลังจากติดเชื้อประมาณ 10-90 วัน จะมีตุ่มเล็ก ๆ เท่าหัวเข็มหมุดเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ (อาจเกิดขึ้นที่หัวหน่าว ขาหนีบ ทวาร หรือริมฝีปากก็ได้ สุดแล้วแต่ตำแหน่งที่เชื้อเข้า) ซึ่งต่อมาจะแตกแล้วกลายเป็นแผลกว้าง ขอบแผลเรียบและแข็ง เรียกว่า แผลริมแข็ง (chancre) มักมีแผลเดียว รูปกลมหรือวงไข่ อาจมี 2 แผลซึ่งจะชนชิดกัน แผลไม่เจ็บไม่คัน พื้นแผลสีแดง และดูสะอาด

ประมาณ 1 สัปดาห์หลังมีตุ่มขึ้น จะพบต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตทั้ง 2 ข้าง ไม่เจ็บ มีลักษณะแข็งแยกจากกัน และสีของผิวหนังบริเวณต่อมน้ำเหลืองไม่เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ

แม้ไม่ได้รับการรักษา แผลอาจหายได้เองใน 3-10 สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย

การเจาะเลือดหาวิดีอาร์แอล จะพบเลือดบวกหลังจากมีเเผล 1-2 สัปดาห์

ระยะที่ 2 เข้าข้อ ออกดอก พบหลังระยะแรกประมาณ 4-8 สัปดาห์ (อาจเกิดหลังมีแผลเพียง 2-3 วัน หรือนานหลายเดือนก็ได้) เชื้อจะเข้าต่อมน้ำเหลืองและอยู่ในเลือดกระจายไปทั่วร่างกาย มีผื่นขึ้นทั้งตัวและที่ฝ่ามือฝ่าเท้าด้วย (ต่างจากผื่นของโรคอื่น ๆ ที่มักไม่ขึ้นที่ฝ่ามือฝ่าเท้า) ผื่นเหล่านี้จะไม่คัน ซึ่งเรียกกันว่า ออกดอก

นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ต่ำ ๆ เป็นครั้งคราว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เจ็บคอ เสียงแหบ ปวดหลัง ปวดตามกระดูก ต่อมน้ำเหลืองโต แผลที่เยื่อบุในช่องปากหรือบริเวณอวัยวะเพศ มีลักษณะเป็นแผลเป็นตื้น ๆ (มีเยื่อสีขาวปนเทาคลุม) มีตุ่มหงอนไก่ (ที่เรียกว่า condyloma lata ลักษณะคล้ายตุ่มหูด หรือหงอนของไก่) ขึ้นที่รอบ ๆ อวัยวะเพศหรือทวารหนัก ผมร่วงทั่วศีรษะหรือเป็นหย่อม (ดู "ผมร่วง ผมบาง" เพิ่มเติม) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หน่วยไตอักเสบ โรคโตเนโฟรติก ตับอักเสบ ม่านตาอักเสบ เป็นต้น

ในระยะนี้ ถ้าตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอลจะพบเลือดบวก

ผื่นและอาการต่าง ๆ จะหายได้เองแม้ไม่ได้รักษา แต่เชื้อจะแฝงตัวนานเป็นปี ๆ อาจเป็น 5 ปี 10 ปี เรียกว่า ซิฟิลิสระยะแฝง (latent syphilis) หลังจากนั้นก็เข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 ระยะทำลาย เกิดจากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี เช่น ซื้อยากินเอง ทำให้เข้าสู่ระยะร้ายแรงของโรค


ภาวะแทรกซ้อน

เชื้ออาจเข้าสู่สมองและไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาต บ้านหมุน เดินเซ ชัก ความจำเสื่อม ตามัว ตาบอด หูตึง หูหนวก บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงและอาจเสียสติได้

เชื้ออาจเข้าสู่หัวใจ ทำให้เป็นโรคลิ้นหัวใจเออร์ติกรั่ว (aortic insufficiency) หลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบ (aortitis) หรือหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง

ผู้ที่เป็นซิฟิลิสอาจไม่มีแผลให้เห็นในระยะที่ 1 หรือมีอาการเข้าข้อออกดอกในระยะที่ 2 แต่จะเข้าไปแฝงตัวอยู่ในร่างกายรอเข้าสู่ระยะที่ 3 เลยก็ได้

ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ถ้าติดเชื้อซิฟิลิส (อาจเป็นโดยไม่รู้ตัว หรือไม่มีอาการแสดงชัดเจน) แล้วไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจถ่ายทอดไปยังทารกในครรภ์โดยผ่านเข้าไปทางรก ทำให้ทารกตายในครรภ์หรือตายหลังคลอด หรือไม่ก็อาจเกิดความพิการไปตลอดชีวิต เราเรียกซิฟิลิสที่เกิดในทารกในลักษณะนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (congenital syphilis) ซึ่งจะมีอาการแสดงภายใน 6 สัปดาห์หลังคลอด โดยเด็กจะมีอาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกเป็นหนองหรือช้ำเลือดช้ำหนอง มีผื่นขึ้น หนังลอกน่าเกลียด ซีด เหลือง บวม ตับโต ม้ามโต และถ้าไม่ได้รับการรักษาเด็กจะมีความพิการต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น จมูกบี้หรือยุบ (พูดไม่ชัด) เพดานโหว่ กระจกตาอักเสบ (อาจกลายเป็นแผลกระจกตา สายตาพิการได้) หูหนวก ฟันพิการ หน้าตาพิการ เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ระยะแรก พบแผลที่อวัยวะเพศ มีลักษณะขอบแผลเรียบและแข็ง ไม่เจ็บไม่คัน มักมีแผลเดียว รูปกลมหรือวงไข่ อาจมี 2 แผลซึ่งจะชนชิดกัน ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตทั้ง 2 ข้าง

ระยะต่อมา พบผื่นขึ้นทั้งตัวและที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ผมร่วงทั่วศีรษะหรือเป็นหย่อม แผลที่เยื่อบุในช่องปากหรือบริเวณอวัยวะเพศ ตุ่มหงอนไก่ (คล้ายตุ่มหูด หรือหงอนของไก่) ที่รอบ ๆ อวัยวะเพศหรือทวารหนัก

สำหรับซิฟิลิสระยะแฝง (latent syphilis) การตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งปกติ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจเลือดหาสารภูมิต้านทานต่อเชื้อซิฟิลิสด้วยวิธี "วีดีอาร์เเอล (venereal disease research laboratory/VDRL)" และ/หรือวิธีอื่น ๆ* บางรายแพทย์อาจทำการตรวจหาเชื้อจากน้ำเหลืองที่แผล หรือสารคัดหลั่งในจมูก   

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์ก็จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น สงสัยเชื้อเข้าสมอง แพทย์จะทำการเจาะหลังนำน้ำไขสันหลังไปตรวจหาเชื้อ เป็นต้น

สำหรับทารกที่สงสัยเป็นซิฟิลิสแต่กำเนิด แพทย์จะตรวจเลือดของมารดาและทารกหาสารภูมิต้านทานต่อเชื้อซิฟิลิส ตรวจหาเชื้อจากรกและสายสะดือ ตรวจน้ำไขสันหลังของทารก เอกซเรย์ และอื่น ๆ

*แพทย์มักเริ่มต้นด้วยการตรวจกรองด้วยวีดีอาร์เเอลเป็นหลัก (บางรายอาจใช้วิธี rapid plasma reagin หรือ RPR แทน) เมื่อให้ผลเป็นบวก ก็จะตรวจยืนยันด้วยการตรวจที่ให้ผลแน่ชัด เช่น enzyme immunoassays (EIA), chemiluminescence immunoassays (CMIA) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะตัวหลักคือ เพนิซิลลิน เช่น เบนซาทีนเพนิซิลลิน, เพนิซิลลินจี ซึ่งใช้กันมาเนิ่นนานและยังใช้ได้ดีสำหรับซิฟิลิสทุกระยะ ในรายที่แพ้ยาเพนิซิลลิน แพทย์จะให้ ดอกซีไซคลีน, อะซิโทรไมซิน หรือเซฟทริอะโซน (ceftriaxone) แทน

แพทย์จะเลือกใช้ชนิดยา ขนาด วิธีใช้ และระยะของการให้ยา ตามระยะของโรค ภาวะโรคที่วินิจฉัย และสภาวะของผู้ป่วย อาทิ

    สำหรับซิฟิลิสในระยะที่ 1 และ 2 เบนซาทีนเพนิซิลลินฉีดเข้ากล้ามเพียงครั้งเดียว (สำหรับระยะที่ 2 อาจฉีดซ้ำอีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา) หรือให้อะซิโทรไมซินเพียงครั้งเดียว

ถ้าให้ดอกซีไซคลีน หรือเซฟทริอะโซน ให้นาน 14 วัน (สำหรับหญิงตั้งครรภ์ห้ามใช้ดอกซีไซคลีน)

    สำหรับซิฟิลิสในระยะแฝง (เป็นมานานกว่า 2 ปี ตั้งแต่เริ่มเป็นแผลริมแข็ง) หรือแผลซิฟิลิสเรื้อรัง หรือซิฟิลิสเข้าระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular syphilis) ฉีดเบนซาทีนเพนิซิลลิน เป็นจำนวน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 1 สัปดาห์ ถ้าให้ดอกซีไซคลีน จะให้นาน 28 วัน
    ในรายที่เป็นซิฟิลิสเข้าระบบประสาทและสมอง (neurosyphilis) รักษาโดยการฉีดเพนิซิลลินจี นาน 10-14 วัน และตามด้วยเบนซาทีนเพนิซิลลินฉีดเข้ากล้ามสัปดาห์ละครั้ง จำนวน 1-3 ครั้ง ถ้าแพ้ยานี้ให้เซฟทริอะโซนฮีดเข้ากล้ามหรือเข้าหลอดเลือดดำ นาน 10-14 วัน
    ซิฟิลิสแต่กำเนิด ฉีดเพนิซิลลินจี นาน 10 วัน

ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งหลังให้ยาแพทย์จะติดตามตรวจดูอาการและตรวจเลือดเป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาได้ผลดี ไม่มีการดื้อต่อยาที่รักษา


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีแผลที่อวัยวะเพศ มีผื่นขึ้นทั้งตัวและฝ่ามือฝ่าเท้า ผมร่วง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหาย


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ถ้าจะหลับนอนกับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัย และฟอกล้างสบู่ทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์

2. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยซิฟิลิสในระยะ 3 เดือนแรก ควรได้รับการรักษาแบบซิฟิลิสระยะแรก

3. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรตรวจกรองโรคด้วยการตรวจเลือด หากพบว่าเป็นซิฟิลิสแฝง แพทย์จะได้ให้การรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้ทารก

ข้อแนะนำ

1. สำหรับซิฟิลิสระยะ 1 และ 2 รวมทั้งระยะแฝง ภายใน 2 ปีแรกหลังการรักษา ควรตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอลเดือนละครั้งใน 3 เดือนแรก ต่อไปตรวจทุก 3 เดือนจนครบ 9 เดือน ต่อไปตรวจทุก 6 เดือนจนครบ 1 ปี (รวมทั้งหมด 2 ปี) เพื่อให้แน่ใจว่าโรคหายขาด โดยทั่วไปผลเลือดจะเป็นปกติภายใน 2 ปี

สำหรับซิฟิลิสระยะแฝงเกิน 2 ปี ซิฟิลิสเข้าระบบหัวใจและหลอดเลือด และซิฟิลิสที่เข้าระบบประสาทและสมอง ควรตรวจวีดีอาร์แอลทุก 3 เดือนจนครบปีที่ 1 ต่อไปทุก 6 เดือนจนครบปีที่ 2 ต่อไปปีละ 1 ครั้งจนตลอดชีวิตของผู้ป่วย

2. การวินิจฉัยซิฟิลิสต้องอาศัยการตรวจเลือด (วีดีอาร์แอล หรือ RPR) เป็นสำคัญ จะดูจากอาการเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรตรวจเลือดทุกราย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นซิฟิลิส หรือถ้าเป็นจะได้ให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา

3. ผู้หญิงบางคนอาจติดเชื้อซิฟิลิสจากสามีที่ชอบเที่ยวโดยไม่มีอาการแสดงให้ทราบ และอาจติดทารกในครรภ์ได้ เช่นเดียวกับการติดเชื้อเอชไอวี ดังนั้น ในการฝากครรภ์ควรเจาะเลือดเพื่อตรวจหาวีดีอาร์แอลและควรตรวจหาเชื้อเอชไอวีพร้อม ๆ กันไปทุกราย ถ้าเลือดบวกต้องแนะนำให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อป้องกันมิให้แพร่เชื้อให้ทารกในครรภ์

4
การเลือกของตกแต่งบ้าน ทาวน์โฮม หน้าแคบที่เน้นความเรียบง่าย

การเลือกของตกแต่งบ้านสำหรับ ทาวน์โฮมหน้าแคบ ที่เน้นความ เรียบง่าย ถือเป็นความท้าทายที่น่าสนุกค่ะ เพราะต้องใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือรกตา หัวใจสำคัญคือการสร้างสรรค์พื้นที่ที่ดูโปร่ง โล่ง และใช้งานได้จริง ลองมาดูเคล็ดลับและไอเดียกันค่ะ

หลักการสำคัญของการแต่งทาวน์โฮมหน้าแคบให้เรียบง่าย

เน้นความโปร่ง โล่ง: ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นด้วยการใช้สีอ่อน แสงธรรมชาติ และการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็น

ฟังก์ชันต้องมาก่อน: เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งทุกชิ้นควรมีประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจน หรือมีฟังก์ชันหลากหลาย

เส้นสายเรียบง่าย: เลือกของที่มีดีไซน์ไม่ซับซ้อน ไม่มีลวดลายเยอะ เพื่อไม่ให้ห้องดูยุ่งเหยิง

ใช้พื้นที่แนวตั้งให้เกิดประโยชน์: เมื่อพื้นที่แนวนอนมีจำกัด การใช้ผนังและพื้นที่สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ไอเดียของตกแต่งและเทคนิคการจัดวางสำหรับทาวน์โฮมหน้าแคบ

1. โทนสีและแสงสว่าง: สร้างความรู้สึกกว้างขวาง

สีหลัก: ใช้ สีขาว หรือ สีโทนอ่อนมาก ๆ (เช่น ครีม เทาอ่อน) สำหรับผนัง เพดาน และเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ จะช่วยให้ห้องดูกว้างขวางและสว่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แสงธรรมชาติ: พยายามให้แสงธรรมชาติเข้ามาในบ้านให้มากที่สุด อาจใช้ ผ้าม่านโปร่งแสงสีขาวหรือสีอ่อน เพื่อกรองแสงและยังคงความเป็นส่วนตัว

แสงประดิษฐ์: เลือก โคมไฟดีไซน์เรียบง่าย ที่ให้แสงสี Warm White เพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่น อาจเป็นโคมไฟติดผนังเพื่อประหยัดพื้นที่ หรือโคมไฟตั้งพื้นทรงสูงเพรียว

2. เฟอร์นิเจอร์: เลือกชิ้นที่ "ทำงานได้หลายอย่าง"

ขนาดเหมาะสม: เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ มีขนาดพอดี กับพื้นที่ ไม่ใหญ่เทอะทะจนกินทางเดิน

ฟังก์ชันครบครัน:

โซฟาเบด (Sofa Bed): เป็นได้ทั้งโซฟานั่งเล่นและเตียงเสริม

สตูล/ออตโตมันพร้อมช่องเก็บของ (Storage Ottoman/Stool): เป็นที่นั่งเสริม ที่พักเท้า และกล่องเก็บของในตัว

โต๊ะกลาง/โต๊ะข้างพร้อมฟังก์ชันจัดเก็บ: มีลิ้นชักหรือช่องเก็บของด้านล่าง

โต๊ะพับได้/โต๊ะขยายได้: เหมาะสำหรับพื้นที่ทานอาหารหรือพื้นที่ทำงานที่ต้องการความยืดหยุ่น

ดีไซน์เรียบง่าย: เน้นเส้นสายที่สะอาดตา วัสดุ ไม้สีอ่อน โลหะสีดำ/ขาว หรือผ้าสีพื้น

3. การจัดเก็บ: ซ่อนความรกอย่างแนบเนียน

ชั้นวางของติดผนัง (Floating Shelves): เป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมในการเพิ่มพื้นที่เก็บของโดยไม่เปลืองพื้นที่พื้น วางหนังสือ ของตกแต่ง หรือต้นไม้เล็กๆ

ตู้เก็บของบิลท์อิน (Built-in Cabinets): หากมีงบประมาณ การบิลท์อินตู้เก็บของตลอดแนวผนังจะช่วยให้บ้านดูเนี้ยบและมีพื้นที่เก็บของมหาศาล

ตะกร้าเก็บของดีไซน์สวย: ใช้สำหรับเก็บของที่หยิบใช้บ่อยๆ เช่น ผ้าห่ม หมอนอิง นิตยสาร โดยเลือกตะกร้าสานจากวัสดุธรรมชาติ หรือโลหะ

4. ของตกแต่ง: เน้นคุณภาพและตำแหน่ง

กระจกเงา: แขวนกระจกเงาบานใหญ่บนผนัง จะช่วยสะท้อนแสงและทำให้ห้องดูกว้างขึ้นเป็นเท่าตัว

แจกันและต้นไม้: เลือก แจกันทรงเรียบง่าย (เช่น ทรงกระบอก หรือทรงเรขาคณิต) สีขาว เทา หรือเบจ ใส่ ต้นไม้ฟอร์มสวย (เช่น ลิ้นมังกร, ยางอินเดีย) หรือกิ่งไม้สวยๆ เพียงไม่กี่ก้าน เพื่อเพิ่มความสดชื่น

งานศิลปะ/ภาพถ่าย: เลือก งานศิลปะ Abstract หรือ ภาพถ่ายขาวดำ ที่เน้นเส้นสายเรียบง่าย หรือภาพวิวที่ดูสงบเงียบ แขวนบนผนังโล่งๆ เพียง 1-2 ชิ้น โดยเลือก กรอบบางๆ สีขาว ดำ หรือสีไม้

เทียนหอม/ก้านหอมปรับอากาศ: เลือกกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ช่วยผ่อนคลาย (เช่น ชาขาว, ลาเวนเดอร์) และเลือกภาชนะดีไซน์มินิมอล เพื่อสร้างบรรยากาศ

5. เส้นสายและมิติ: สร้างความน่าสนใจโดยไม่รก

เส้นสายแนวตั้ง: อาจใช้ แผ่นไม้ระแนงสีอ่อน หรือ วอลเปเปอร์ลายเส้นแนวตั้ง บริเวณผนังด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อช่วยให้ห้องดูสูงโปร่งขึ้น

สร้างจุดเด่น: เลือกของตกแต่งชิ้นเดียวที่โดดเด่นในแต่ละโซน เช่น โคมไฟดีไซน์เก๋ๆ หรือเก้าอี้มีดีไซน์ เพื่อไม่ให้ห้องดูเรียบจนน่าเบื่อ

การตกแต่งทาวน์โฮมหน้าแคบให้เรียบง่ายและสวยงาม คือการเข้าใจข้อจำกัดของพื้นที่ และใช้ประโยชน์จากทุกองค์ประกอบให้คุ้มค่าที่สุดค่ะ หวังว่าไอเดียเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการสร้างสรรค์บ้านในฝันของคุณนะคะ!

5
วัดบ้านพราน ที่เที่ยวอ่างทอง ไหว้ขอพร ทำบุญ หลวงพ่อไกรทอง เสริมบุญ

ขับรถมาเที่ยวใกล้กรุงเทพ กันที่ อ่างทอง ดีกว่า และถ้ามาจังหวัดนี้ก็ต้องไปเยือน วัดสวย อย่างแน่นอนค่า ซึ่งนอกจากวัดดังที่เรารู้จักกันดีแล้วนั้น อยากจะแนะนำให้มาวัดแห่งนี้เลยค่ะ ที่มีชื่อว่า วัดบ้านพราน ซึ่งมีความสวยงาม อีกทั้งยังเก่าแก่ด้วย ตามเราเข้าไปสักการะวัดแห่งนี้กันดีกว่าค่า

     วัดบ้านพราน เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใน ตำบลศรีพราน อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง แต่ว่าสร้างขึ้นเมื่อใดนั้นไม่ได้มีหลักฐานปรากฏค่ะ แต่จากคำบอกเล่าของ หลวงปู่ชัยมงคล ที่ พระนครศรีอยุธยา บอกให้ฟังว่า ผู้ที่สร้างวัดแห่งนี้ มีชื่อว่า นายพาน นางเงิน เป็นสองสามีภรรยา และ นายกระปุกทอง ผู้เป็นบุตรค่ะ โดยอยู่ในช่วงปีพ.ศ.1826-1870 หรือประมาณปลายสมัยกรุงสุโขทัยค่ะ

     ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างเอาไว้ รวมแล้วเป็นเวลากว่าร้อยๆ ปีค่ะ ซึ่งต่อมาก็มีนายพรานมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้ เลยได้ช่วยกันบูรณะ วัดบ้านพราน ขึ้นมาใหม่นั่นเองค่ะ ภายในแห่งนี้ จะมีวิหารที่ประดิษฐาน หลวงพ่อไกรทอง โดยเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ปางสมาธิ  ที่ชาวบ้านเคารพและเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมากค่ะ เพราะเชื่อกันว่าสามารถปกป้องอันตรายต่างๆ ให้แก่ผู้ที่มาสักการะได้

     อีกทั้งยังมีประวัติที่เล่าต่อๆ กันมาอีกว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์นั้น เป็นผู้สร้างหลวงพ่อไกรทองขึ้นที่เมืองสุโขทัย แล้วถอดมาประกอบไว้ที่ วัดบ้านพราน แห่งนี้ เพื่อให้เป็นพระประธานของวัด พอเมื่อถึงวันดีในช่วงเวลาเที่ยงคืนนั้น ก็จะมีไฟลุกสว่างโชติช่วง ซึ่งถือได้ว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีแก่ผู้พบเห็นค่ะ

     นอกจากนี้ภายในวัดก็ยังมี วัตถุโบราณมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในช่วงก่อนหน้านั้นนั่นเองค่ะ รวมทั้งมีพระพุทธรูปหลายยุคหลายสมัยที่จัดแสดงอยู่ภายใน พิพิธภัณฑ์ศรีบ้านพรานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังโบสถ์อีกด้วยค่ะ เป็นอีกวัดที่ทั้งสวยและเก่าแก่ น่าไปเยือนมากจริงๆ เลยค่า
ข้อมูล วัดบ้านพราน อ่างทอง

    ที่อยู่ : ตำบลศรีพราน อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

6
10 ปราสาทหิน ขอมโบราณ ในไทย แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณสถาน สำคัญ

ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของปราสาทหินขอมโบราณจำนวนมาก ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรขอม (หรืออาณาจักรกัมพูชาในปัจจุบัน) ที่เคยมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางตอนล่าง ปราสาทเหล่านี้สร้างขึ้นตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดูและพุทธศาสนามหายาน มีสถาปัตยกรรมและลวดลายแกะสลักที่งดงามวิจิตรบรรจง และควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมสักครั้งค่ะ

นี่คือ 10 ปราสาทหินขอมโบราณที่สำคัญในประเทศไทย:

อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง (จังหวัดบุรีรัมย์)

ความสำคัญ: เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย สร้างขึ้นบนปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว เป็นปราสาทที่โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมและปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกตรง 15 ช่องประตูปราสาทปีละ 4 ครั้ง

จุดเด่น: ปราสาทประธานที่งดงาม ระเบียงคด ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่มีชื่อเสียง และบันไดทางขึ้นอันยิ่งใหญ่

ปราสาทเมืองต่ำ (จังหวัดบุรีรัมย์)

ความสำคัญ: ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทพนมรุ้ง เป็นปราสาทขนาดเล็กกว่าแต่มีความสง่างามและสมบูรณ์ มีสระน้ำล้อมรอบและมีพญานาคห้าเศียรที่มุมสระน้ำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์

จุดเด่น: การจัดผังที่งดงามตามจักรวาลคติ สถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อย และความเงียบสงบ

อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย (จังหวัดนครราชสีมา)

ความสำคัญ: ถือเป็นปราสาทหินขอมที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นตามคติจักรวาลของศาสนาพุทธมหายาน เป็นปราสาทแห่งเดียวที่หันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งผิดจากปราสาทขอมส่วนใหญ่

จุดเด่น: ปรางค์ประธานขนาดใหญ่แกะสลักอย่างวิจิตร ลวดลายบนหน้าบันและทับหลังที่บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ

ปราสาทสด๊กก๊อกธม (จังหวัดสระแก้ว)

ความสำคัญ: เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในภาคตะวันออกของไทย สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16 ในลัทธิไศวนิกาย มีการค้นพบจารึกสด๊กก๊อกธมที่กล่าวถึงการสถาปนาราชวงศ์และพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ขอม

จุดเด่น: สถาปัตยกรรมที่สง่างาม รายละเอียดการแกะสลักที่ปรากฏ และเป็นโบราณสถานที่สะท้อนอารยธรรมขอมได้อย่างชัดเจน

กลุ่มปราสาทตาเมือน (จังหวัดสุรินทร์)

เป็นกลุ่มปราสาท 3 หลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปเล็ก อยู่ใกล้กัน ประกอบด้วย:

ปราสาทตาเมือนธม: เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม มักเรียกว่า "ปราสาทหลัก" มีความซับซ้อนของแผนผังและมีลวดลายจำหลักงดงาม

ปราสาทตาเมือนโต๊ด: เป็นอโรคยาศาล หรือโรงพยาบาลในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ปราสาทตาเมือน (บายกรีม): เป็นธรรมศาลา หรือที่พักคนเดินทางและศาสนสถาน

ความสำคัญ: แสดงให้เห็นถึงการจัดระบบเส้นทางคมนาคมและสถานพยาบาลในสมัยขอมโบราณ

ปราสาทพนมวัน (จังหวัดนครราชสีมา)

ความสำคัญ: เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในภาคอีสาน สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16 โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบบาปวน

จุดเด่น: มีกำแพงแก้วและระเบียงคดล้อมรอบ ปรางค์ประธานมีขนาดใหญ่และมีลวดลายแกะสลักที่สวยงาม

ปราสาทเปือยน้อย (จังหวัดขอนแก่น)

ความสำคัญ: เป็นปราสาทขอมที่สมบูรณ์ที่สุดในจังหวัดขอนแก่น สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 เพื่อเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู

จุดเด่น: ตัวปราสาทสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง มีปรางค์ประธานที่งดงาม และมีกำแพงแก้วล้อมรอบ

ปราสาทศีขรภูมิ (จังหวัดสุรินทร์)

ความสำคัญ: เป็นปราสาทที่มีลักษณะเด่นคือปรางค์ 5 องค์เรียงกันบนฐานเดียวกัน สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 สันนิษฐานว่าเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย

จุดเด่น: ศิลปะแบบบาปวนผสมผสานกับอิทธิพลของนครวัด ลวดลายแกะสลักบนหน้าบันและทับหลังมีความละเอียดและสวยงาม

ปราสาทสระกำแพงใหญ่ (จังหวัดศรีสะเกษ)

ความสำคัญ: เป็นปราสาทขอมขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์มากอีกแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16 เพื่อถวายพระอิศวร และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา

จุดเด่น: มีปรางค์ประธาน 3 องค์บนฐานเดียวกัน มีวิหารหรือบรรณาลัยอยู่ด้านหน้า และมีระเบียงคดล้อมรอบ

ปราสาทเมืองสิงห์ (จังหวัดกาญจนบุรี)

ความสำคัญ: เป็นปราสาทหินขอมเพียงแห่งเดียวในภาคตะวันตกของประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอาณาจักรขอมที่แผ่ขยายมายังภูมิภาคนี้ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

จุดเด่น: มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญของพุทธศาสนามหายานในสมัยบายน

ปราสาทหินเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และความเชื่อของผู้คนในอดีตอีกด้วยค่ะ

7
ฟรีแลนซ์โพสต์ฟรี / งานฝีมือ ทำกระเป๋าจากลวดไหม
« เมื่อ: วันที่ 5 ตุลาคม 2025, 14:08:12 น. »
งานฝีมือ ทำกระเป๋าจากลวดไหม

การทำ กระเป๋าจากลวดไหม (หรือที่บางคนเรียกว่ากระเป๋าจากไหมเส้นใหญ่, ไหมเชือก, หรือไหมพรมเส้นยักษ์) เป็นงานฝีมือที่น่าสนใจและได้กระเป๋าที่มีเท็กซ์เจอร์โดดเด่น ไม่เหมือนใครเลยค่ะ ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่คุณเลือกใช้ จะได้กระเป๋าที่มีสไตล์แตกต่างกันไป ลองดูไอเดียและวิธีการหลักๆ เหล่านี้ได้เลยค่ะ

1. กระเป๋าถักโครเชต์จากไหมพรมเส้นใหญ่/ไหมเชือก

เป็นวิธีที่นิยมที่สุดในการทำกระเป๋าจากไหมพรมหรือไหมเส้นใหญ่ค่ะ จะได้กระเป๋าที่มีความนุ่มนวล แต่ยังคงรูปทรงได้ดีหากเลือกไหมที่มีเส้นใยแข็งแรงพอสมควร

ไหมที่ใช้: ไหมพรมเส้นใหญ่พิเศษ (Chunky Yarn), ไหมเชือกคอตตอน (Cotton Rope Yarn), ไหมถักเส้นใหญ่สำหรับงานกระเป๋าโดยเฉพาะ (T-Shirt Yarn, Macramé Cord)

อุปกรณ์: เข็มโครเชต์ขนาดใหญ่ (เช่น เบอร์ 8.0 mm - 15.0 mm ขึ้นอยู่กับขนาดของไหม), กรรไกร, เข็มเย็บไหมพรม, ห่วง D-ring (สำหรับสายกระเป๋า)

วิธีทำโดยสังเขป:

เลือกแพทเทิร์น: หาแพทเทิร์นกระเป๋าโครเชต์ที่ชอบ (มีเยอะมากใน YouTube หรือ Pinterest) อาจจะเป็นกระเป๋าแบบง่ายๆ อย่างถุงหูรูด กระเป๋า Tote Bag หรือกระเป๋าสะพายข้าง

เริ่มต้น: ทำห่วงโซ่ (Chain Stitch) หรือ Magic Ring ตามแพทเทิร์น เพื่อสร้างฐานกระเป๋า

ถักตัวกระเป๋า: ถักลายโครเชต์พื้นฐาน เช่น ลายควักธรรมดา (Single Crochet), ลายควักครึ่งหลัก (Half Double Crochet), หรือลายควักหลัก (Double Crochet) วนไปเรื่อยๆ จนได้ความสูงของกระเป๋าที่ต้องการ

ทำขอบและหู/สายกระเป๋า: ถักเก็บขอบปากกระเป๋าให้เรียบร้อย อาจถักเป็นหูหิ้วในตัว หรือเย็บติดกับห่วง D-ring เพื่อทำเป็นสายสะพาย

เก็บปลายไหม: ซ่อนปลายไหมที่เหลือให้เรียบร้อยด้วยเข็มเย็บไหมพรม


2. กระเป๋าสาน/ถักแบบ Finger Knitting/Arm Knitting (ไม่ต้องใช้เข็ม)

เป็นเทคนิคที่ใช้มือแทนเข็ม เหมาะสำหรับไหมพรมเส้นใหญ่ยักษ์ หรือไหมเชือกขนาดใหญ่มากๆ ทำให้ได้กระเป๋าที่นุ่ม ฟู และมีเท็กซ์เจอร์ที่ไม่เหมือนใคร

ไหมที่ใช้: ไหมพรมเส้นยักษ์ (Giant Yarn), ไหมเชือกขนาดใหญ่

อุปกรณ์: กรรไกร, มือของคุณ!

วิธีทำโดยสังเขป:

ทำโซ่: เริ่มต้นด้วยการทำห่วงโซ่ด้วยนิ้วมือของคุณให้ได้ความยาวตามฐานกระเป๋าที่ต้องการ

ถักวน: ถักเป็นลายง่ายๆ เช่น ลาย Garter Stitch (เหมือนถักนิตติ้งธรรมดา) โดยใช้มือสอดและดึงห่วงไปมา หรือถักแบบโครเชต์โดยใช้นิ้วแทนเข็ม

ขึ้นรูป: ถักไปเรื่อยๆ จนได้ขนาดและความสูงของกระเป๋าที่ต้องการ

เก็บงาน: มัดหรือเย็บปลายไหมให้แน่นหนา


3. กระเป๋า Macramé (มาคราเม่) จากไหมเชือก

Macramé คือศิลปะการผูกปม ทำให้ได้ลวดลายที่สวยงามและมีความประณีต เป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับกระเป๋าจากไหมเชือก

ไหมที่ใช้: ไหมเชือกคอตตอน (Cotton Macramé Cord) ขนาดต่างๆ (นิยม 3mm - 6mm)

อุปกรณ์: กรรไกร, ไม้แขวนหรือหลักสำหรับยึดไหมขณะถัก, ห่วงไม้/ห่วงโลหะ (สำหรับหูหิ้ว), ตลับเมตร

วิธีทำโดยสังเขป:

เลือกแพทเทิร์น: หาแพทเทิร์นกระเป๋า Macramé ที่ชอบ (เน้นการใช้ปมพื้นฐาน เช่น Square Knot, Half Hitch Knot)

ตัดไหม: ตัดไหมเชือกตามความยาวที่แพทเทิร์นกำหนด

เริ่มต้นผูกปม: ผูกปมพื้นฐานตามแพทเทิร์น เพื่อสร้างลวดลายของตัวกระเป๋า

ขึ้นรูป: ผูกปมไปเรื่อยๆ ให้เกิดเป็นรูปทรงกระเป๋าที่ต้องการ (อาจต้องผูกปมแบบแบนราบแล้วนำมาเย็บประกอบกัน หรือผูกปมแบบวนขึ้นเป็นรูปทรง)

ทำหู/สายกระเป๋า: อาจใช้ห่วงไม้หรือห่วงโลหะมาผูกติดเป็นหูหิ้ว หรือผูกปมเป็นสายสะพาย

เก็บปลาย: ตัดปลายไหมให้เสมอกัน และอาจทำปมเล็กๆ หรือติดกาวร้อนเพื่อป้องกันไหมรุ่ย


4. กระเป๋าเย็บจากไหมพรม/ไหมเชือกที่ถักสำเร็จรูป

บางครั้งไหมพรมหรือไหมเชือกเส้นใหญ่จะมีลักษณะคล้ายผ้าที่ถักสำเร็จรูปเป็นเส้นยาวๆ คุณสามารถนำมาเย็บประกอบเป็นกระเป๋าได้เลย

ไหมที่ใช้: ไหมพรม/ไหมเชือกที่ถักเป็นเส้นยาวๆ คล้ายแถบผ้า (มักจะเห็นขายเป็นม้วนๆ)

อุปกรณ์: เข็มเย็บผ้า/เข็มเย็บหนัง (สำหรับไหมเส้นใหญ่), ด้ายเย็บที่แข็งแรง, กรรไกร, ซิป, ผ้าซับใน (ถ้าต้องการ)

วิธีทำโดยสังเขป:

ออกแบบ: วางแผนรูปทรงกระเป๋าที่ต้องการ (เช่น กระเป๋าคลัทช์, กระเป๋าดินสอ)

ตัดไหม: ตัดแถบไหมพรม/ไหมเชือกที่ถักสำเร็จรูปให้ได้ขนาดตามชิ้นส่วนกระเป๋าที่ต้องการ

เย็บประกอบ: เย็บชิ้นส่วนต่างๆ ของกระเป๋าเข้าด้วยกัน อาจเย็บด้วยมือหรือจักรเย็บผ้าที่สามารถเย็บไหมหนาๆ ได้

ติดซิป/หูหิ้ว: ติดซิป และเย็บสายกระเป๋าหรือหูหิ้ว

เย็บซับใน (ถ้าต้องการ): ตัดผ้าซับในให้มีขนาดเท่ากระเป๋า แล้วเย็บซับในเข้าไปด้านในกระเป๋า


เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับกระเป๋าจากลวดไหม:

เลือกไหมที่เหมาะสม: พิจารณาจากลักษณะเนื้อสัมผัสที่คุณต้องการ (นุ่ม ฟู หรือแข็งแรงอยู่ทรง) และขนาดของเส้นไหม

ความทนทาน: หากต้องการกระเป๋าที่ใช้งานหนัก ควรเลือกไหมที่ทนทานและอาจต้องเย็บผ้าซับในด้านใน

ขนาดเข็ม/มือ: เลือกขนาดเข็มโครเชต์ หรือใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับขนาดของไหมที่คุณเลือก

การดูแลรักษา: กระเป๋าไหมพรม/ไหมเชือกบางชนิดอาจต้องซักด้วยมืออย่างเบามือ และตากในที่ร่ม

การทำกระเป๋าจากลวดไหมเป็นงานที่ให้ความอิสระในการสร้างสรรค์สูงค่ะ ขอให้สนุกกับการออกแบบและประดิษฐ์กระเป๋าในสไตล์ที่เป็นของคุณเองนะคะ!

8
ฟรีแลนซ์โพสต์ฟรี / ประเภทและสาเหตุของโรคปอด
« เมื่อ: วันที่ 3 ตุลาคม 2025, 20:39:57 น. »
ประเภทและสาเหตุของโรคปอด

โรคปอดมีหลายประเภท ซึ่งแบ่งได้ตามส่วนของปอดที่ได้รับผลกระทบ หรือตามลักษณะของโรคว่าเป็นการติดเชื้อ การอักเสบเรื้อรัง หรือการเติบโตผิดปกติ (มะเร็ง)

นี่คือประเภทและสาเหตุหลักของโรคปอดที่พบบ่อย:

1. โรคปอดที่เกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจ (Obstructive Lung Diseases)
เป็นกลุ่มโรคที่ทำให้ทางเดินหายใจแคบลงหรือถูกทำลาย ทำให้มีปัญหาในการหายใจออก

ประเภทของโรค                                 สาเหตุหลัก
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) (รวมถึงถุงลมโป่งพองและหลอดลมอักเสบเรื้อรัง)   1. การสูบบุหรี่ (เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด ทั้งผู้สูบเองและควันบุหรี่มือสอง)
                                2. มลพิษทางอากาศ (ฝุ่น PM 2.5, ควันพิษจากรถยนต์/โรงงาน)
                                3. การสัมผัสฝุ่นละอองหรือสารเคมีในที่ทำงานเป็นเวลานาน
โรคหอบหืด (Asthma)   1. พันธุกรรม/ภูมิแพ้: มักมีประวัติครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืด
                                2. สิ่งกระตุ้นภายนอก: ฝุ่น ควันบุหรี่ เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ อากาศเย็น การออกกำลังกาย


2. โรคปอดที่เกิดจากการติดเชื้อ (Infectious Lung Diseases)

เกิดจากการที่เชื้อโรคเข้าสู่ปอดและทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อปอดหรือถุงลม

ประเภทของโรค                                             สาเหตุหลัก
โรคปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)   1. เชื้อแบคทีเรีย (เช่น Streptococcus pneumoniae)
                                                        2. เชื้อไวรัส (เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่, COVID-19)
                                                        3. เชื้อรา หรือเชื้อโรคอื่น ๆ
วัณโรค (Tuberculosis - TB)                    เชื้อแบคทีเรีย (Mycobacterium tuberculosis)
หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute Bronchitis) การติดเชื้อไวรัส (มักเป็นเชื้อเดียวกับไข้หวัด) หรือแบคทีเรีย


3. โรคปอดที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ

ประเภทของโรค                         สาเหตุหลัก
มะเร็งปอด (Lung Cancer)   1. การสูบบุหรี่: ทั้งผู้สูบเองและควันบุหรี่มือสอง (เป็นสาเหตุหลัก)
                                        2. การสัมผัสสารพิษ: เช่น แร่ใยหิน (Asbestos), ก๊าซเรดอน
                                        3. มลพิษทางอากาศ (โดยเฉพาะ PM 2.5)
                                        4. พันธุกรรม และประวัติครอบครัว


4. โรคปอดอื่น ๆ

โรคปอดจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อม (Occupational Lung Diseases): เช่น โรคปอดฝุ่นหิน (Silicosis) หรือปอดฝุ่นถ่านหิน เกิดจากการสูดดมฝุ่นแร่ธาตุในที่ทำงานเป็นเวลานาน

ภาวะน้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema): สาเหตุหลักมักเกิดจาก ภาวะหัวใจล้มเหลว ทำให้ของเหลวรั่วจากหลอดเลือดกลับเข้าไปในถุงลมปอด

ภาวะมีน้ำในเยื่อหุ้มปอด (Pleural Effusion): เกิดจากการสะสมของเหลวระหว่างเยื่อหุ้มปอด มักมีสาเหตุมาจากโรคปอดบวม โรคหัวใจล้มเหลว หรือมะเร็ง

สรุปสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพปอดอย่างมาก:

การสูบบุหรี่ และควันบุหรี่มือสอง (เป็นสาเหตุหลักของ COPD และมะเร็งปอด)

มลภาวะทางอากาศ (ฝุ่น PM 2.5)

การติดเชื้อโรค (ไวรัส, แบคทีเรีย, วัณโรค)

พันธุกรรม (เช่น โรคหอบหืด หรือภาวะขาดเอนไซม์บางชนิด)

โรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลวที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมปอดได้

9
โรคหัวใจ สาเหตุการตายอันดับ 1 มีอาการอย่างไรบ้าง

โรคหัวใจและหลอดเลือดถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลกและในประเทศไทย อาการของโรคหัวใจมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับชนิดของโรค แต่โดยทั่วไปมักเกี่ยวข้องกับ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงคือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack) และ ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

นี่คืออาการสำคัญที่คุณต้องเฝ้าระวัง:

1. สัญญาณอันตรายจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่ต้อง รีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะทุกนาทีมีความสำคัญต่อชีวิตและการรักษา

เจ็บแน่นหน้าอกรุนแรง:

รู้สึก แน่น อึดอัด เหมือนมีของหนักกดทับ หรือบีบรัดอย่างรุนแรงบริเวณ กลางหน้าอก หรือค่อนไปทางซ้าย

อาการเจ็บมักจะ เป็นนานกว่า 20 นาที และไม่ดีขึ้นเมื่อหยุดพักหรือเปลี่ยนท่า

ในบางรายอาจมีอาการ แสบร้อนที่ลิ้นปี่ คล้ายโรคกระเพาะอาหาร (โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้หญิง)

อาการปวดร้าว:

ปวดร้าวจากหน้าอกไปที่ แขนซ้าย (พบบ่อยที่สุด) หรือแขนทั้งสองข้าง

ปวดร้าวขึ้นไปที่ กราม, คอ, หรือ หลัง

อาการร่วมที่บ่งชี้ความรุนแรง:

เหงื่อออกมากผิดปกติ ตัวเย็น

คลื่นไส้ อาเจียน หรือรู้สึกจุกแน่นท้อง

หายใจหอบถี่ หรือหายใจลำบากอย่างเฉียบพลัน

เป็นลมหมดสติ หรือหน้ามืด


2. อาการที่บ่งบอกถึงภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

ภาวะนี้เกิดจากหัวใจบีบตัวอ่อนแรงลง ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ ทำให้เกิดน้ำคั่งในปอดและร่างกาย อาการจะค่อยเป็นค่อยไปแต่จะแย่ลงเรื่อย ๆ

เหนื่อยง่ายกว่าปกติ:

ความสามารถในการออกกำลังกายลดลงอย่างชัดเจน

เหนื่อยหอบ เมื่อทำกิจกรรมที่ไม่เคยเหนื่อยมาก่อน เช่น เดินขึ้นบันได หรือเดินเร็ว

อาการเหนื่อยเมื่อนอนราบ:

นอนราบไม่ได้ ต้องใช้หมอนหนุนศีรษะสูง ๆ หรือต้องลุกขึ้นนั่งกลางดึกเพราะหายใจไม่ออก

อาการบวม:

ขาบวม, เท้าบวม, ข้อเท้าบวม มักเป็นสองข้างและกดบุ๋ม

น้ำหนักเพิ่มขึ้นผิดปกติอย่างรวดเร็ว (จากการมีน้ำคั่งในร่างกาย)

ไอเรื้อรัง: อาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือไอบ่อย ๆ ร่วมด้วย


3. อาการที่บ่งบอกถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ใจสั่น: รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วเกินไป (เร็วรัวผิดปกติ), เต้นช้าเกินไป, หรือเต้นสะดุดเป็นครั้งคราว

หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ: โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนท่าทาง

วูบ หรือหมดสติ: เกิดจากการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะจนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ

หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงและพบอาการเหล่านี้ ไม่ควรลังเลที่จะไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดค่ะ

10
ฟรีแลนซ์โพสต์ฟรี / โรคไข้เลือดออก
« เมื่อ: วันที่ 3 ตุลาคม 2025, 14:03:46 น. »
โรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ พบมากสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี และ 0-4 ปีตามลำดับ

โรคนี้พบได้ตลอดทั้งปี และทั่วทุกภาค โดยจำนวนผู้ป่วยเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตอนต้นเดือนพฤษภาคม จนมีจำนวนสูงสุดในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน แล้วเริ่มมีแนวโน้มลดลงตอนปลายเดือนตุลาคม โรคนี้มีแนวโน้มเกิดการระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี (dengue virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 2, 3 และ 4

โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเด็งกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมาก 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออก หรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า ไข้เด็งกี (dengue fever/DF)*

ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก (ซึ่งอาจเป็นเชื้อเด็งกีชนิดเดียวกัน หรือคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรกก็ได้ และมีระยะฟักตัวสั้นกว่าครั้งแรก) ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ และเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้พลาสมา (น้ำเลือด) ไหลซึมออกจากหลอดเลือด (ตรวจพบระดับฮีมาโตคริตสูง มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง) และมีเลือดออกง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โดยทั่วไปการติดเชื้อครั้งหลัง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 6 เดือนถึง 5 ปี มักจะทิ้งช่วงไม่เกิน 5 ปี ด้วยเหตุนี้ไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง จึงมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีมากกว่าในวัยอื่น

โรคนี้มียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ ยุงลายจะกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกก่อน แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง (ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร) ก็จะแพร่เชื้อให้คนอื่น ๆ ต่อไป ยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋อง หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ทั้งในกลางวันและกลางคืน
 

ยุงลาย

* ไข้เด็งกี (dengue fever) เกิดจากการติดเชื้อเด็งกีครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จัดว่าเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ซึ่งมักหายได้เองเป็นส่วนใหญ่แม้จะไม่ได้ใช้ยา หรือเพียงให้ยาบรรเทาตามอาการ เนื่องเพราะเป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งไม่มียารักษาจำเพาะ

อาการที่พบได้ก็คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยมักไม่มีอาการเป็นหวัดเจ็บคอแบบไข้หวัด ผู้ป่วยอาจมีผื่นแดงเล็กคล้ายหัดขึ้นตามตัว (ซึ่งบางรายอาจมีอาการคัน) บางรายอาจมีจุดแดง (จุดเลือดออก) ตามผิวหนัง

บางรายเมื่อทำการทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก การตรวจเลือดพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำ และบางรายอาจพบเกล็ดเลือดต่ำ

โรคนี้มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยที่ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือหากไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะวินิจฉัยจากอาการ (โดยไม่ได้ทำการทดสอบทูร์นิเคต์ และไม่ได้ตรวจเลือด) ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ (เช่น ไข้ปวดข้อยุงลาย ไข้ซิกา) เพียงให้การรักษาตามอาการและติดตามสังเกตอาการ ซึ่งมักจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นไข้เด็งกี

ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อเด็งกีครั้งแรก จึงมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเคยติดเชื้อเด็งกี หากในเวลาต่อมาเกิดการติดเชื้อเด็งกีซ้ำ ก็จะกลายเป็นไข้เลือดออกได้

อาการ

อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ซึ่งมักมีลักษณะไข้สูงลอยตลอดเวลา หรือกินยาลดไข้ก็มักจะไม่ทุเลา

มักมีอาการหน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย นอนซม เบื่ออาหาร 

บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป ท้องผูกหรือถ่ายเหลว 

ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด แต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย หรือไอบ้างเล็กน้อย

ในราววันที่ 3 ของไข้ อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขนขาและลำตัว ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 วัน บางรายอาจมีจุดเลือดออก มีลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ (บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก (เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่)

ในระยะนี้อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย

การทดสอบทูร์นิเคต์* ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้ และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบมีจุดเลือดออกมากกว่า 10-20 จุดเสมอ

ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากไข้ก็จะลดลงในวันที่ 5-7 บางราย อาจมีไข้เกิน 7 วันได้

แต่ถ้าเป็นมาก ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4

อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของโรค

อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว ชีพจรคลำไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วัน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีน้ำมันดิบ ๆ ถ้าเลือดออกมักทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรง และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

ระยะที่ 2 นี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ อาการที่ส่อว่าดีขึ้นก็คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน หลังผ่านระยะที่ 2

รวมเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นไข้จนแข็งแรงดีประมาณ 7-14 วัน ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจเป็นอยู่ 3-4 วันก็หายได้เอง ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน บางรายอาจนาน 10 วันก็ได้

ความรุนแรงของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ขั้น ได้แก่

ขั้นที่ 1 (เกรด 1) มีไข้และมีอาการแสดงทั่ว ๆ ไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาการแสดงของการมีเลือดออกมีเพียงอย่างเดียว คือ มีจุดแดง ๆ ตามผิวหนังโดยไม่มีอาการเลือดออกอย่างอื่น ๆ และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก

ขั้นที่ 2 (เกรด 2) มีอาการเพิ่มจากขั้นที่ 1 คือ มีเลือดออกเอง อาจออกเป็นจ้ำเลือดที่ใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกจากที่อื่น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แต่ยังไม่มีภาวะช็อก ชีพจรและความดันโลหิตยังปกติ

ขั้นที่ 3 (เกรด 3) มีอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำ หรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า แรงชีพจร** (pulse pressure) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท (เช่น ความดันช่วงบน 80 ช่วงล่าง 60)

ขั้นที่ 4 (เกรด 4) มีภาวะช็อกอย่างรุนแรง ชีพจรเบาและเร็วจนจับไม่ได้ ความดันตกจนวัดไม่ได้ และ/หรือมีเลือดออกมาก เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดมาก

ไข้เลือดออกที่มีความรุนแรง ถึงขั้นที่ 3 และ 4 พบได้ประมาณร้อยละ 20-30 ที่เหลืออีกร้อยละ 70-80 จะแสดงอาการในขั้นที่ 1 และ 2

การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยตามขั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนจากขั้นที่ 2 มาขั้น 3 และ 4 ควรจับชีพจร วัดความดันโลหิต และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจหาความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดตรวจฮีมาโทคริต และตรวจนับคำนวณเกล็ดเลือดเป็นระยะ

*การทดสอบทูร์นิเคต์ (tourniquet test) โดยใช้เครื่องวัดความดันรัดเหนือข้อศอกของผู้ป่วยด้วยค่าความดันกึ่งกลางระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างของคนคนนั้น (ความดันช่วงบนบวกความดันช่วงล่างหารสอง) เป็นเวลานาน 5 นาที
ถ้าไม่มีเครื่องวัดความดัน ให้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย (ยังพอคลำชีพจรที่ข้อมือได้) นาน 5 นาที
ถ้าพบมีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนใต้ตำแหน่งที่รัดเป็นจำนวนมากกว่า 10 จุดในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว (เท่ากับเหรียญบาทโดยประมาณ) แสดงว่าการทดสอบได้ผลบวก ถ้าน้อยกว่า 10 จุดก็ถือว่าได้ผลลบ
ในผู้ป่วยไข้เลือดออก การทดสอบนี้จะได้ผลบวกได้มากกว่าร้อยละ 80 ตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป ใน 1-2 วันแรกอาจให้ผลลบ
คนที่เป็นโรคเลือดที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น ไอทีพี โลหิตจางอะพลาสติก หรือคนที่เป็นไข้หวัด หรือไข้อื่น ๆ ก็อาจให้ผลบวกได้เช่นกัน
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก การทดสอบนี้อาจให้ผลลบได้
 

การทดสอบทูร์นิเคต์
 
**แรงชีพจร (ความดันชีพจร) ในคนปกติจะอยู่ระหว่าง 30-50 มม.ปรอท ถ้าน้อยกว่า 30 เรียกว่า "แรงชีพจรแคบ" เช่น 120/100, 90/70, 80/70 เป็นต้น ถ้ามากกว่า 50 เรียกว่า "แรงชีพจรกว้าง" เช่น 160/90, 150/70 เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะเลือดออกรุนแรง (ถ้ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารจำนวนมาก หรือมีเลือดออกในสมอง มักมีอัตราตายสูง) ภาวะช็อก และภาวะอวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน

นอกจากนี้ อาจเป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) สมองอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

ผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกเสียชีวิตในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด  หรือทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย

ในกรณีที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำมากไป อาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เป็นอันตรายได้ ดังนั้นเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ควรตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งมักจะเป็นอยู่ตลอดเวลา) หน้าแดง เปลือกตาแดง นอนซม

อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดงหรือจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว การทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก (อาจให้ผลลบในวันแรก ๆ ของไข้)

ในรายที่เป็นรุนแรง (มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ4) จะตรวจพบภาวะช็อก (มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำหรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างน้อยกว่า 30 มม.ปรอท) บางรายอาจตรวจพบอาการเลือดออก (เช่น เลือดกำเดาไหลอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด)

ในรายที่ยังวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกายไม่ได้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเลือด พบเม็ดเลือดขาวมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 5,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร), เกล็ดเลือดมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 150,000 ตัวต่อเลือด 1ลูกบาศก์มิลลิเมตร), ฮีมาโทคริต (ซึ่งวัดระดับความเข้มของเลือด) สูงกว่าปกติ เนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง

ในการวินิจฉัยโรคนี้ให้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในเลือด (ด้วยวิธี NS1 หรือ PCR ซึ่งจะให้ผลที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการไข้ 1-3 วัน) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้ตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป แพทย์อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง เพื่อดูสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้เลือดออกโดยวิธี ELISA (สามารถทราบผลจากการตรวจเพียงครั้งเดียว) หรือวิธี hemagglutination inhibition (HI ซึ่งต้องตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 สัปดาห์)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าอาการไม่รุนแรง (มีอาการในขั้นที่ 1) คือเพียงแต่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร โดยยังไม่มีอาการเลือดออกหรือมีภาวะช็อก จะให้การรักษาตามอาการ ดังนี้

    ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมาก ๆ
    หากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล คำนวณขนาดตามน้ำหนักตัวหรือตามอายุ ให้ได้ไม่เกิน 4 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น หรืออาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรมได้ และห้ามให้ยาลดไข้กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ให้ยาลดไข้ บางครั้งไข้ก็อาจจะไม่ลดก็ได้ ระวังอย่าให้พาราเซตามอลถี่กว่ากำหนด อาจมีพิษต่อตับได้
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน) หรือสารละลายน้ำตาล เกลือแร่
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อาจต้องนัดผู้ป่วยมาตรวจดูอาการทุกวัน ตรวจจับชีพจร วัดความดัน และตรวจดูอาการเลือดออก รวมทั้งทดสอบทูร์นิเคต์ ถ้าวันแรก ๆ ให้ผลลบ ก็จะทำซ้ำในวันต่อ ๆ มา

2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ำ ช็อก หรือเลือดออก (มีอาการในขั้นที่ 2-4) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการเจาะเลือดตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต (ดูความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าเลือดข้นมากไป เช่น ฮีมาโทคริตมีค่ามากกว่า 50% ขึ้นไป ก็แสดงว่าปริมาตรของเลือดลดน้อย) นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และจำนวนเกล็ดเลือด (พบว่าต่ำกว่าปกติทั้งคู่ เกล็ดเลือดจะเริ่มต่ำประมาณวันที่ 3-4 ของไข้ โรคยิ่งรุนแรงเกล็ดเลือดจะยิ่งต่ำมาก)

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจอื่น ๆ เช่น อิเล็กโทรไลต์ในเลือด ตรวจการทำงานของตับ (มักพบ AST และ ALT สูง) ตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด (congulation study) ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

แพทย์จะทำการรักษา โดยให้น้ำเกลือรักษาภาวะช็อกหรือภาวะขาดน้ำ ถ้าจำเป็นอาจให้พลาสมาหรือสารแทนพลาสมา (เช่น แอลบูมินหรือเดกซ์แทรน) ให้เลือดถ้ามีเลือดออก และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้เป็นปกติภายใน 1-2  สัปดาห์ ส่วนน้อยมากที่อาจเสียชีวิต (เฉลี่ยในผู้ป่วย 1,000 คน มีการเสียชีวิตประมาณ 1 คน) จากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เลือดออกรุนแรง มีภาวะช็อก อวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เป็นต้น ผู้ที่เสียชีวิตมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว (เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเลือด โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น) อายุต่ำกว่า 1 ปี กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เข้ารับการรักษาช้า หรือปล่อยให้มีอาการรุนแรงค่อยมาพบแพทย์

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงหรือมีไข้ตลอดเวลาร่วมกับอาการเบื่ออาหาร นอนซม หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้เลือดออก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้เลือดออก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาลดไข้-พาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แม้ว่ากินยาแล้วไข้ไม่ยอมลดก็ห้ามกินถี่กว่าที่แนะนำ เพราะการใช้ยานี้มากเกินอาจมีพิษต่อตับได้
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาลดไข้-แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน (ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีสีแดง เพราะหากอาเจียนอาจทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการอาเจียนออกเป็นเลือดหรือเป็นน้ำที่ดื่ม)
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน และหลีกเลี่ยงน้ำที่ออกสีเข้ม) หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการหนาวสั่นมาก
    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก กระสับกระส่าย หรือซึมมาก
    หายใจหอบ
    ปวดท้องตรงยอดอกหรือลิ้นปี่
    ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง เบื่ออาหารมาก หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มือเท้าเย็นชืด มีเหงื่อออกและท่าทางไม่สบายมาก
    มีจุดแดงจ้ำเลือดขึ้นตามตัว
    มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น

    ปิดฝาโอ่งน้ำหรือภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้ ด้วยฝาอะลูมิเนียม ผ้า ตาข่ายไนล่อน หรือวัสดุอื่น
    เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 7 วัน สำหรับแจกันพลูด่างต้องใช้น้ำชะล้างไข่หรือลูกน้ำที่เกาะติดตามรากพลูด่างและข้างในแจกัน
    เปลี่ยนน้ำในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำเดือดลงไปในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำส้มสายชู ผงซักฟอก หรือเกลือแกงในน้ำที่อยู่ในจานรองตู้ (ใช้เกลือขนาด 2 ช้อนชา/น้ำ 1 แก้ว)
    จานรองกระถางต้นไม้ ควรใส่ทรายธรรมดาให้ลึก 3 ใน 4 ส่วนของจานขนาดใหญ่ หรือเทน้ำที่ขังอยู่ในจานขนาดเล็กทิ้งทุก 7 วัน
    ควรเก็บกระป๋อง ฝาขวด (ฝาเบียร์) กะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หรือสิ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน โรงเรียน และแหล่งชุมชน ทำลายหรือฝังดินให้หมด
    ยางรถยนต์เก่าถ้าไม่โยนทิ้งควรหาทางปกคลุม หรือเจาะรูระบายไม่ให้น้ำขัง หรือนำมาทำเป็นที่ปลูกต้นไม้หรือพืชผักสวนครัว เครื่องใช้ (เช่น ที่ทิ้งขยะ เก้าอี้) แต่จะต้องดัดแปลงยางรถยนต์ให้ขังน้ำไม่ได้
    ปรับพื้นบ้านและสนามอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อที่มีน้ำขังได้
    กำจัดลูกน้ำยุงลายด้วยการใส่ทรายอะเบต (abate)* ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด
    เลี้ยงปลาหางนกยูงไว้กินลูกน้ำในภาชนะที่ใส่น้ำสำหรับใช้ (ไม่ใช่น้ำสำหรับบริโภค) ในอ่างบัว หรืออ่างปลูกต้นไม้น้ำ โดยใส่ปลาหางนกยูง 2-10 ตัวต่อภาชนะ ควรใส่เฉพาะปลาตัวผู้เพื่อคุมปริมาณปลาหางนกยูง

2. หาวิธีป้องกันอย่าให้ยุงลายกัด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เช่น ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเวลาออกนอกบ้าน, อยู่ในห้องที่มีมุ้งลวด หรือให้เด็กเล็กนอนกางมุ้ง, ใช้ยาทากันยุงทาตามตัวเวลาอยู่ในที่ที่มียุง เป็นต้น

3. ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคไข้เลือดออก มีการรายงานว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนจนครบจำนวน 3 เข็ม (ซึ่งแต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน) สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้เป็นระยะเวลา 5-6 ปี โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้จากเชื้อเด็งกีทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ราวร้อยละ 65 และลดความรุนแรงของโรคได้ราวร้อยละ 93 ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดให้เฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อน

สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อนแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเมื่อฉีดไปแล้ว หากมีการติดเชื้อเด็งกี มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรง และการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

เนื่องจากวัคซีนไข้เลือดออกยังมีราคาแพง และมีข้อระมัดระวังในการใช้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตัดสินใจในการฉีดวัคซีนชนิดนี้

*ใส่ทรายอะเบต (abate) ชนิด 1% ในอัตราส่วน 10 กรัม/น้ำ 100 ลิตร (ตุ่มมังกรขนาด 8 ปีบ ใช้อะเบต 2 ช้อนชา ตุ่มซีเมนต์ขนาด 12 ปีบ ใช้อะเบต 2.5 ช้อนชา) ควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย

ข้อแนะนำ

1. ไข้เลือดออกมักแยกออกจากไข้หวัดได้ โดยที่ไข้เลือดออกมักไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไข้สูงหน้าแดง ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นคล้ายหัด แต่แยกออกจากหัดได้ โดยหัดจะมีน้ำมูกและไอมากและตรวจพบจุดค๊อปลิก

นอกจากนี้อาการไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ยังอาจทำให้ดูคล้ายไข้ผื่นกุหลาบในทารก ไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสระยะแรก เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น (ตรวจอาการไข้)

ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจมาด้วยอาการไข้สูงร่วมกับชักก็ได้

ดังนั้นในช่วงฤดูฝนหรือในช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออก ถ้าพบผู้ที่มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ควรทำการทดสอบทูร์นิเคต์ หรือตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ไข้เลือดออกทุกราย

2. ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ

ประมาณร้อยละ 70-80 ของผู้ที่เป็นไข้เลือดออก จะมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เองภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อกก็เพียงพอ ไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือให้ยาพิเศษแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์

ประมาณร้อยละ 20-30 ที่อาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออก ซึ่งก็มีทางรักษาให้หายได้ด้วยการให้น้ำเกลือหรือให้เลือด มีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นอาจรุนแรงมากจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจมีอัตราตายสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ

3. ระยะวิกฤติของโรคนี้คือวันที่ 3-7 ของไข้ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออกได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าพ้นระยะนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย

4. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกในระยะแรก ถ้ามีอาการปวดท้อง อาเจียนมาก หรือเบื่ออาหาร (ดื่มน้ำได้น้อย) อาจมีภาวะช็อกตามมาได้ ดังนั้นถ้าพบอาการเหล่านี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรพยายามให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ ถ้าดื่มไม่ได้ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

5. เนื่องจากเชื้อไข้เลือดออกมีอยู่หลายชนิด ดังนั้นคนเราจึงอาจติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้ง แต่ส่วนมากจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แล้วหายได้เอง ส่วนน้อยที่อาจเป็นรุนแรงถึงช็อก และแต่ละคนจะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเพียงครั้งเดียว (หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิต) ที่จะเป็นรุนแรงซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้นนับว่ามีน้อยมาก

6. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออก สามารถให้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ควรแยกแยะอาการตัวเย็นจากยาลดไข้ให้ออกจากภาวะช็อก กล่าวคือ ถ้าตัวเย็นเนื่องจากยาลดไข้ ผู้ป่วยจะดูสบายดีและหน้าตาแจ่มใส แต่ถ้าตัวเย็นจากภาวะช็อก ผู้ป่วยจะซึมหรือกระสับกระส่าย

อย่างไรก็ตาม ควรย้ำให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่าการใช้ยาลดไข้อาจไม่ทำให้ไข้ลด ถ้าไข้ไม่ลดก็ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาดที่กำหนด ถ้าให้มากไปหรือถี่เกินไป อาจมีพิษต่อตับถึงขั้นอันตรายได้ และอย่าหันไปใช้ยาลดไข้ชนิดอื่น เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยี่ห้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ประกอบด้วยยาพาราเซตามอลล้วน ๆ (โดยอ่านดูฉลากยาให้แน่ใจ) เพราะยาแก้ไข้อื่น ๆ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยไข้เลือดออกได้

7. ในรายที่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ควรให้ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้น้อยไปหรือมากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะวิกฤติประมาณ 24-48 ชั่วโมง จำเป็นต้องตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต อย่างใกล้ชิด และปรับปริมาณและความเร็วของน้ำเกลือที่ให้ตามความรุนแรงของผู้ป่วย ต้องระวังการให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ เป็นอันตรายได้


11
หมอประจำบ้าน: กระเพาะอาหารทะลุ/แผลเพ็ปติกทะลุ (Peptic perforation)

พบในผู้ป่วยแผลเพ็ปติกที่ปล่อยปละละเลย ขาดการรักษาอย่างจริงจัง จนแผลค่อย ๆ กินลึกจนทะลุเป็นรู

สาเหตุ

มักพบเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของผู้ป่วยที่เป็นโรคแผลเพ็ปติกที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง ผู้ป่วยมักมีประวัติปวดท้องตรงใต้ลิ้นปี่เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือมีประวัติชอบกินยาแก้ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดข้อ (เช่น ยาแก้ปวดที่เข้าแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาชุด) ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเสียดแน่นที่ใต้ลิ้นปี่ ซึ่งเกิดขึ้นทันทีทันใดและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปวดมาก่อนและปวดติดต่อกันนานเป็นชั่วโมง ๆ (มักเป็นนานเกิน 6 ชั่วโมง) กินยา ฉีดยาอะไรก็ไม่ได้ผล อาการปวดมักลุกลามไปทั่วท้องอย่างรวดเร็ว และอาจรู้สึกปวดร้าวไปที่หัวไหล่ข้างเดียวหรือ 2 ข้าง ผู้ป่วยมักจะนอนนิ่ง ๆ หากขยับเขยื้อนจะรู้สึกปวดมากขึ้น บางรายอาจมีการคลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น หน้ามืด วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม


ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มักทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ และโลหิตเป็นพิษ ซึ่งเป็นอันตรายถึงตายได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

มีอาการกดเจ็บ (tenderness) กดปล่อยแล้วกดเจ็บ (rebound tenderness) และท้องแข็ง (guarding) ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่

ใช้เครื่องฟังตรวจที่หน้าท้อง จะได้ยินเสียงโครกครากลดน้อยกว่าปกติ หรือแทบไม่ได้ยินเลย

ชีพจรมากกว่า 120 ครั้ง/นาที

บางรายอาจมีอาการช็อก หรือกระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น ความดันต่ำ


บางรายอาจมีไข้ขึ้น

แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเอกซเรย์ และการตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

หากสงสัยแพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล และทำการผ่าตัดอย่างฉุกเฉิน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ปวดท้องรุนแรง ปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง หน้าท้องกดเจ็บหรือเกร็งแข็ง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นกระเพาะอาหารทะลุ/แผลเพ็ปติกทะลุ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการซื้อกินยาแก้ปวด หรือยาแก้ปวดข้อมากินเองเป็นประจำ

2. หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัดหรือดื่มเป็นประจำ

3. หากตรวจพบว่าเป็นโรคแผลเพ็ปติก ควรได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง

ข้อแนะนำ

โรคนี้ถือเป็นภาวะร้ายแรง หากสงสัย (เช่น มีอาการปวดท้องรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือปวดนานเกิน 6 ชั่วโมง) ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลด่วน และรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งมักจะช่วยให้หายขาดได้ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น


12
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ต้องขูดหินปูนก่อนเข้ารับการรักษาหรือไม่
 
สุขภาพช่องปากและฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีความพร้อมในการที่จะเข้ารับการรักษาเพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ หลายคนที่เคยมีปัญหาเรื่องของฟันผุ แน่นอนว่า การเกิดจากการที่เราไม่ดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเราไม่ดีเท่าที่ควร จนทำให้เกิดคราบสะสม จนเกิดหินปูน

ซึ่งคราบหินปูนนั้น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฟันผุและนำไปสู่การสูญเสียฟัน ซึ่งหินปูน เกิดจากการพัฒนามาจากคราบแบคทีเรีย คราบพลาค มีลักษณะคล้ายฟิล์มใสๆ บางๆ เกาะตัวอยู่บริเวณโคนฟันใกล้ขอบเหงือก อาจมีสีออกเหลือง หรือเทาได้เล็กน้อย โดยคราบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้หลังการแปรงฟันเพียง 2-3 นาที เป็นเมือกใสๆ ของน้ำลายมาเกาะที่ตัวฟัน หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ แคลเซียมในอาหารก็จะเข้ามาเกาะรวมอยู่ด้วย จนทำให้เกิดเป็นคราบแข็งที่ติดแน่นมาก จนกลายเป็นหินปูนที่เราไม่สามารถแปรงฟันออกได้ด้วยตนเองในที่สุด ต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้ขูดหินปูนออกให้เท่านั้น สำหรับใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับหินปูนและมีปัญหาฟันร่วมด้วยและอยากที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส คงมีคำถามว่า จะต้องขูดหินปูนก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสหรือไม่
 
ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการขูดหินปูนและการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงเรื่องของขั้นตอนการจัดฟันแบบใสก่อนว่า มีขั้นตอนอย่างไร ซึ่งจะเป็นการตอบคำถามได้ดีว่า ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องขูดหินปูนก่อนเข้ารับการรักษาหรือไม่ ขั้นตอนแรกก่อนที่เราจะเตรียมตัวเข้ารับการจัดฟันแบบใส เราจะต้องทำการปรึกษาปัญหาที่ต้องการจัดฟัน

โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะสามารถเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสได้หรือไม่ รวมไปถึงขั้นตอนการตรวจประเมินช่องปากก่อนเข้ารับการรักษาด้วย แต่ประเด็นที่บอกว่า จะต้องเข้ารับการขูดหินปูนก่อนการรักษานั้น แน่นอนว่าถ้าหากทันตแพทย์ตรวจพบคราบหินปูนขณะประเมินช่องปาก ผู้เข้ารับการจัดฟันก็ต้องเข้ารับการขูดหินปูน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง แต่หากเข้ารับการจัดฟันไปแล้ว แล้วมีคราบหินปูน ทันตแพทย์ก็สามารถขูดหินปูนให้ได้ โดยไม่มีปัญหาในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน

เพราะเนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันแบบใสที่สามารถถอดออกได้ง่าย สะดวก จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันอยู่แล้ว จึงทำให้มั่นใจได้เลยว่า ในเรื่องของการขูดหินปูนในระหว่างการจัดฟันแบบใส จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ในเรื่องของการทำความสะอาดของฟันสำหรับทันตแพทย์นั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจช่องปากและฟันประจำปีอยู่แล้ว ควรเข้าพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีในระยะยาว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟันของเราได้ ให้สามารถพร้อมเข้ารับการจัดฟันได้ทันที ดังนั้น การขูดหินปูน จึงอยู่ในขั้นตอนการวางแผนการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสอยู่แล้ว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดฟันผุได้อย่างดีเลยทีเดียว ทั้งนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันด้วยการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์มาอย่างยาวนาน เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้รับการบริการที่มีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ทางคลินิกเรายังได้รับรองสูงสุดจาก invisalign ให้สามารถให้บริการการจัดฟันแบบใสได้อย่างตามมาตรฐานสากล จึงมั่นใจได้ว่า คุณจะมีฟันที่สวยงาม ช่วยส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่มั่นใจ มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

13
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส พิเศษกว่าการจัดฟันแบบใส่เหล็ก
 
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟัน สามารถแก้ไขปัญหาฟันไม่สวย ฟันหน้ายื่น ฟันซ้อน ฟันเก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในปัจจุบันการจัดฟันมีราคาที่ค่อนข้างหลากหลาย สามารถเลือกชนิดเครื่องมือได้ตามความเหมาะสม ตามการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล เช่น  จัดฟันแบบโลหะ จัดฟันแบบดามอน หรือจัดฟันแบบใส invisalign โดยเราสามารถศึกษารายละเอียด ก่อนเข้ารับการรักษาได้ หรือทางที่ดีควรที่จะปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันโดยตรง เพื่อที่จะได้เลือกรูปแบบการจัดฟันที่เหมาะสมกับปัญหาของเราจริงๆ แต่ในแง่ของการจัดฟัน

รูปแบบที่ได้รับความนิยมมากก็คือ การจัดฟันแบบใส เพราะด้วยขั้นตอนและความสะดวกสายในการใช้ชีวิตประจำวัน ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีกว่าการจัดฟันในรูปแบบอื่น เพราะการจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟัน ด้วยเครื่องมือจัดฟันที่ทำจากพลาสติก ที่แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งคุณสวมไว้บนฟัน เพื่อให้ฟันเคลื่อนฟันให้เข้าที่อย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของการไว้ได้ในระหว่างการจัดฟันแบบใสได้ตามปกติ แถมยังสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ขระรับประทานอาหารและขณะแปรงฟัน

ซึ่งจะเห็นได้ว่า เราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ รับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ และยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเราอีกด้วย ซึ่งถือว่า การจัดฟันแบบใส จะพิเศษกว่าการจัดฟันในรูปแบบอื่นทั้งในเรื่องของความแม่นยำของผลการรักษา การใช้ชีวิตประจำวัน และการรักษาสุขอนามัย นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันที่ไม่ต้องติดเหล็กจัดฟันและลวด สาเหตุของการระคายเคืองในช่องปากอีกทั้งลดระยะเวลาในการปรับตำแหน่งเครื่องมืออีกด้วย
 
สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันแบบใส ที่มีความพิเศษกว่าการจัดฟันแบบใส่เหล็ก ซึ่งแน่นอนว่า ใครที่เคยผ่านการจัดฟันมา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ก็คงจะมีประสบการณ์อันยากลำบากที่จะเลี่ยงการเกิดแผลภายในช่องปาก ซึ่งเป้นปัญหาที่ใครหลายคนมักจะพบเจอได้บ่อย แถมในเรื่องของการรับประทานอาหารจะต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อเครื่องมือการจัดฟันด้วย เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบเหล็กอาจจะเกิดหลุดขณะรับประทานอาหารได้ แต่ในการจัดฟันแบบใส

ผู้เข้ารับการจัดฟันจะสามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากลาย เนื่องจากสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ ขณะรับประทานอาหาร จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน นี่ถือเป้นจุดเด่นของการจัดฟันแบบใส ที่ทำให้ใครหลายๆคนเลือกที่จะเข้ารับการจัดฟันในรูปแบบนี้

นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใส ยังสามารถทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างสะดวก และมีประสิทธิภาพด้วย ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ลดการเกิดปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก ไม่ทำให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้ ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส  ก็คือ เครื่องมือสามารถถอดง่าย ใส่สบาย

และที่สำคัญผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถดูแผนการรักษาในรูปแบบ 3D ได้ ทำให้เห็นภาพการเคลื่อนของฟันอย่างเป็นลำดับต่อเนื่องก่อนเข้ารับการรักษา เพราะทันตแทพย์จะวางแผนการรักษาทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้สามารถออกแบบรอยยิ้มได้ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการจัดฟันแบบใส พร้อมทั้งทางเรายังมีเครื่องมือทางด้านทันตกรรมที่ทันสมัย มีความปลอดภัย และเรายังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ให้สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานสากล และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีความปลอดภัยในทุกขั้นตอนการรักษา และมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน และทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

14
จัดฟันบางนา: จัดฟันแบบเร่งด่วน ใช้เวลาสั้นที่สุด สามารถทำได้หรือไม่ ?

เชื่อว่าหลายๆท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วถึงระยะเวลาในการจัดฟัน ว่าต้องใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควร บางท่านอาจจะไม่สามารถทำการจัดฟันได้เนื่องจากว่าไม่มีเวลามากพอที่จะมาทำการจัดฟันตามขั้นตอนของทันตแพทย์ หรือผู้ที่ทำการจัดฟันไปแล้วมักจะมีคำถามแรกคล้ายๆกันนั่นก็คือ เมื่อไหร่จะเสร็จสิ้นการจัดฟัน ? เมื่อไหร่ฟันจะเข้าที่ ? ต้องจัดฟันไปอีกนานหรือไม่ ? ต้องขอบอกเลยว่าเป็นคำถามยอดนิยมมากๆ ที่ทันตแพทย์จะได้ยินจากผู้ป่วยที่เข้าทำการรักษา ซึ่งแท้จริงแล้วทุกอย่างมีขั้นมีตอน

ในวันนี้จะขอมาตอบคำถามเพื่อให้ทุกท่านได้ทราบและเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับการจัดฟัน รวมถึงการจัดฟันแบบเร่งด่วนมีหรือไม่ ต้องทำอย่างไรฟันจึงจะเข้าที่อย่างรวดเร็ว โดยมีรายละเอียดที่อยากให้ทราบดังต่อไปนี้


ระยะเวลาในการจัดฟัน ?

ต้องขอบอกเลยว่าศาสตร์การจัดฟันนั้นมีอายุมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี ซึ่งทำให้มีการเก็บข้อมูลทำการวิจัยมาอย่างยาวนานมากๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ระยะเวลาที่แน่นอนของการจัดฟัน จนสรุปได้อย่างคร่าวๆว่า ต้องใช้ระยะเวลาการจัดฟันอยู่ที่ 2 – 3 ปี โดยประมาณ ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกท่านที่จัดฟันจะต้องใช้ระยะเวลาเท่านี้เสมอไป บางท่านอาจจะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี ก็มี หรือบางท่านอาจจะใช้เวลาแค่ 2 ปี ก็เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งเรื่องของระยะเวลาในการจัดฟันนี้ก็จะขึ้นอยู่กับปัญหาฟันที่ทำการจัด อายุ ระดับการตอบสนองของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนก็มีสิ่งเหล่านี้ไม่เท่ากัน แต่ความร่วมมือของผู้ทำการจัดฟันที่ให้กับทันตแพทย์ก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ท่านจัดฟันได้รวมเร็วและมีประสิทธิภาพดีที่สุด


ระยะเวลาในการจัดฟัน ขึ้นอยู่กับทันตแพทย์ด้วย ?

ต้องขอบอกเลยว่า ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาก็ถือว่ามีผลต่อระยะเวลาในการจัดฟันเช่นกัน เนื่องจากว่าทันตแพทย์แต่ละท่านมีประสบการณ์ต่างกัน เรียนมาไม่เหมือนกัน มุมมองต่างกัน และเทคนิควิธีที่นำมาใช้ก็มีความต่างกัน และที่สำคัญมากๆอีกอย่างก็คือ ความละเอียดในการรักษาของทันตแพทย์แต่ละท่านไม่เท่ากัน เช่น ทันตแพทย์บางท่านงานต้องออกมาสมบูรณ์แบบ เลยมีความละเอียดมาก จึงต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่มากตามไปด้วย


วิธีการเร่งจัดฟันมีหรือไม่ ?

ต้องขอบอกตรงนี้เลยว่ามีและไม่มี ซึ่งการจัดฟันแบบเร่งด่วนถือว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญมากๆสำหรับทันตกรรมระดับโลกที่กำลังศึกษากันอยู่ และยังไม่สามารถทำออกมาเป็นชิ้นเป็นอันได้ชัดเจน เพราะหากว่าใครสามารถคิดค้น วิธีจัดฟันเพียง 3 เดือนได้ จะกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกแน่นอน

แต่ที่ผ่านมาก็ได้มีการวิจัยและประดิษฐ์คิดค้น วิธีการเร่งการจัดฟันออกมาเยอะแยะมากมาย ยกตัวอย่างเช่น แบร็กเก็ตพิเศษ แบร็กเก็ตแบบไม่มัดยาง รวมถึงแบร็กเก็ตรูปทรงต่างๆ มากมาย แถมยังมีเครื่องมือกระตุ้นกระดูกรอบๆฟัน จุดหมายเพื่อให้ฟันเคลื่อนที่เข้ารูปได้รวดเร็วขึ้นกว่าปกติที่ใช้กันอยู่ ซึ่งเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ได้มีการผลิตใช้จริงตั้งแต่ในสมัยอีกรวมถึงปัจจุบัน ซึ่งมีมากมายหลายยี่ห้อ หลายบริษัท

แต่อุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ยังไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการด้านวิทยาศาสตร์ ว่าสามารถใช้ได้จริงหรือไม่

แต่ที่แน่ๆอุปกรณ์เหล่านี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายเป็นวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่ยังไม่ได้มีการยืนยันแน่นอนว่าช่วยทำให้การจัดฟันรวมเร็วขึ้น

แต่สิ่งที่ทั้งโลกให้การยอมรับว่าการจัดฟันนั้นจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ การวินิจฉัยและวางแผนที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย  รวมถึงความร่วมมือของผู้ที่ทำการจัดฟันมากน้อยเพียงใด หากทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด โอกาสผิดพลาดก็จะลดน้อยลง เพราะทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่ทันตแพทย์ต้องวางเอาไว้

ส่วนอุปกรณ์เสริมพิเศษเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วฟันของเราไม่เคยเลือกอุปกรณ์ แต่ผู้ที่นำอุปกรณ์มาใช้ต่างหากที่ต้องมีความสามารถและชำนาญ

สรุปสั้นๆกับคำถามที่หลายๆท่านอยากทราบในการจัดฟันแบบเร่งด่วนมีจริงไหม คำตอบง่ายๆก็คือ มีจริง แต่ไม่ใช่เร็วแบบเดือนหรือสองเดือน ผลสุดท้ายทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเป็นสำคัญ

15
หากฟันน้ำนมผุสามารถจัดฟันเด็กได้หรือไม่
 
การเกิดฟันผุในเด็กนั้น ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเด็กไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพราะฟันของเด็ก จะต้องอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต การที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ใส่ใจในเรื่องของฟันของบุตรหลานของท่านนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง แต่ในปัจจุบันนั้น เด็กมีการเกิดฟันผุมาก ซึ่งฟันผุก็สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฟันน้ำนมผุ

ก็มีผลมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว นอกจากนี้ การเกิดปัญหาฟันน้ำนมผุในเด็ก ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้ฟันผุง่ายก็คือ การรับประทานขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง  ประกอบกับการที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและสุขภาพช่องปากและฟันของลูกมากนัก

จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่า ปัญหาฟันผุในเด็ก หากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวเด็กในอนาคตได้ และถ้าเด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ได้ จะต้องส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็กอย่างแน่นอน  ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ ทั้งในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหารและวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กลดความเสี่ยงของการเกิดฟันผุได้

ซึ่งในปัจจุบันต้องบอกว่าในวงการทันตกรรมของเรามีนวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้นมามากมายและเด็กก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว ซึ่งถือว่ามีประโยชน์มากต่อตัวเด็กในระยะยาว โดยการจัดฟันในเด็กสามารถจัดฟันได้ตั้งแต่เด็กที่มีอายุ4-15 ปี หรือในวัยที่เด็กกำลังมีฟันแท้งอกขึ้นมา การจัดฟันในเด็กก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันล้ม หรือแม้กระทั่งเด็กที่มีการสบฟันที่ผิดปกติก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก
 
พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะมีคำถามว่าถ้าหากเด็กมีฟันน้ำนมผุจะสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงการที่เด็กมีฟันผุและอยากจะเข้ารับการจัดฟันในเด็กว่าจะต้องมีวิธีการอย่างไร ก่อนอื่นพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไขปัญหาต่างๆและจะได้ประเมินช่องปากเบื้องต้น ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็ก

ซึ่งคำถามก็คือเด็กที่มีฟันน้ำนมผุ สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ข้อนี้ตอบเลยว่าสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้และเหมาะสมมากเลยทีเดียว เพราะการที่เด็กมีฟันน้ำนมผุและยิ่งถ้าหากสูญเสียฟันน้ำนมก่อนวัยอันควร การจัดฟันในเด็กจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่อาจจะงอกขึ้นมาในลักษณะที่มีความผิดปกติได้ ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะช่วยทำให้ฟันแท้ สามารถงอกขึ้นมาในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ 

ช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับฟันซ้อนเก หรือภาวะฟันแท้หายที่เกิดจากการที่ฟันน้ำนมหลุดก่อนวัยอันควร ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าบุตรหลานของท่านจะมีฟันน้ำนมผุจนไม่สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ ซึ่งข้อนี้บอกเลยว่า เด็กที่มีฟันน้ำนมผุและหลุดก่อนวัยอันควรเหมาะสมมากที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อที่จะทำให้เด็กมีฟันแท้ที่งอกออกมาครบ 32 ซี่และยังช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องต่างๆได้อีกด้วย ซึ่งก็จะทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่เด็ก มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของพัฒนาการของเด็กได้เป็นอย่างดี
 
ดังนั้น หากเด็กมีปัญหาฟันผุหรือความผิดปกติที่เกี่ยวกับรูปร่างฟัน ก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อให้เด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เด็ก มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อยได้ หากใครสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือเข้าตรวจฟันเบื้องต้น ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพื่อที่จะได้ให้เด็กมีสุขขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงตั้งแต่เนิ่นๆ ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพฟัน และยังช่วยทำให้เด็กได้ทีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

หน้า: [1] 2 3 ... 76