แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 69
1
พาลูกน้อยเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์จัดฟันเด็ก ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ถือว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะละเลยในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของฟันของลูกน้อย เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี นอกจากนี้ พ่อแม่ควรที่จะปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง รวมไปถึง แนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากและฟันด้วย เพราะเด็กส่วนใหญ่ชื่นชอบการรับประทานอาหารที่มีความหวานหรือแม้กระทั่ง ขนมลูกอมต่างๆ รวมไปถึง น้ำอัดลม


ซึ่งต้องบอกว่าอาหารเหล่านี้ เป็นศัตรูกับฟันของเราเลยทีเดียว เพราะเนื่องจากมีน้ำตาลผสมเป็นจำนวนมากและน้ำตาลนั้น จะส่งผลทำให้เกิดคราบหินปูนและทำให้ฟันของเด็กผุได้ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสอดส่องดูแลและช่วยสังเกตพฤติกรรมของเด็กว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง เพราะไม่ฉะนั้น หากปล่อยประละเลยเด็กอาจจะมีฟันผุก่อนวัยอันควรได้ ผู้ปกครอง ไม่ควรมองว่าฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่มีประโยชน์และไม่มีความจำเป็นหรือคิดว่าต่อไปอาจจะมีฟันแท้งอกขึ้นมาแทนที่ จึงปล่อยประละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก แต่หารู้ไม่ว่าฟันน้ำนมนั้นส่งผลกระทบต่อการขึ้นของฟันแท้ ยิ่งถ้าหากฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควรก็อาจจะทำให้ฟันแท้ขึ้นมาอย่างผิดปกติได้ อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันและต้องเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก


สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้าตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ตั้งแต่ 4-15 ปี เพราะเด็กในช่วงนี้กำลังมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าตอนวัยรุ่น ยิ่งเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดขวดนม ดูดนิ้วซึ่ง จะทำให้เกิดปัญหาฟันได้ง่าย ควรที่จะเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กนั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมที่มีการพัฒนาไปมากกว่าแต่ก่อน จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร


วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก แล้วจะพูดถึงการเตรียมตัวพาลูกน้อยเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน สำหรับการเตรียมตัวที่จะเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพูดและทำความเข้าใจกับเด็ก เพื่อให้เด็กได้ทราบว่าปัญหาฟันส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กได้ตระหนักรู้ และเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปากและฟันสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองพูดและสร้างความเข้าใจให้กับเด็กแล้วก็สามารถพาเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันได้ ซึ่งในขณะที่เด็กเข้าพบทันตแพทย์ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้าพูดคุยร่วมกับทันตแพทย์ได้เพื่อตัดสินใจและเพื่อทราบปัญหาที่แท้จริงของเด็กว่า เด็กมีปัญหาฟันในเรื่องใดและทันตแพทย์จะทำการแก้ไขด้วยวิธีใด เพื่อให้ทราบและจะได้สร้างความเข้าใจให้กับเด็กก่อนว่า ทำไมเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันเพื่อที่จะได้ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ถูกต้องตามที่ทันตแพทย์แนะนำ

สำหรับ พ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนานจึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องและสามารถแนะนำให้เข้ารับการรักษาให้เข้ากับปัญหาฟันของเด็ก นอกจากนี้ทันตแพทย์ของเรายินดีให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้ดูแลรักษาความสะอาดฟันได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากเห็นเด็กๆทุกคน มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

2
การจัดฟันเด็ก ทางเลือกดีๆเพื่อหนูน้อยฟันสวย

การจัดฟัน สามารถทำได้ตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็ก อายุระหว่าง 6 หรือ 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาและขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต ซึ่งหมายความว่าปัญหาบางอย่าง เช่น ฟันซ้อน จะแก้ไขได้ง่ายกว่าตอนโตเป็นผู้ใหญ่ และสิ่งสำคัญที่น่าสังเกตก็คือ การจัดฟันในเด็กไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจัดฟันได้ทุกแบบ แต่อาจจะช่วยได้ในบางกรณีเท่านั้น และสภาพช่องปากที่สามารถแก้ไขได้มีอยู่ 2 แบบ ที่จำเป็นต้องจัดฟันตั้งแต่เด็ก ได้แก่ ฟันสบไขว้และฟันหน้ายื่น

    ฟันสบไขว้ อาจทำให้ขากรรไกรเจริญเติบโตไม่สมดุลกัน และมีปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร
    ฟันหน้าที่ยื่นออกมาก็อาจเสี่ยงต่อการแตกหักหรือบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น เกิดอุบัติเหตุหกล้ม เป็นต้น

การจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการใช้ประโยชน์จากขากรรไกรของเด็กที่กำลังอยู่ในช่วเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังอาจจะสามารถแก้ไขส่วนโค้งของแนวฟันและขากรรไกรที่อยู่ในตำแหน่งไม่เหมาะสมได้อีกด้วย ซึ่งอุปกรณ์จัดฟันอาจจะแก้ไขหรือปรับปรุงปัญหาเหล่านี้ได้ ตามปกติแล้ว หลังจากการจัดฟันจะต้องรับการรักษาอย่างอื่นเพิ่มเติม แต่อาจจะใช้เวลาน้อยกว่าการจัดฟัน ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา เหล็กจัดฟันของเด็กได้รับการพัฒนาขึ้นมามาก เทคโนโลยีช่วยให้เหล็กจัดฟันสมัยนี้ใส่สบายขึ้นและสวยงามกว่าเหล็กจัดฟันสมัยก่อน ที่พ่อและแม่เคยใส่ นอกจากนี้ยังราคาถูกลง ซึ่งหมายความว่าเด็กๆ จำนวนมากที่มีปัญหาเรื่องของฟัน สามารถที่จะได้เข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันมากขึ้นกว่าเดิม

เด็กที่ติดเหล็กจัดฟันและอุปกรณ์ทางทันตกรรมชนิดอื่นๆ จะต้องรักษาสุขอนามัยในช่องปากเป็นอย่างดี คุณจะต้องให้ลูกนั้นบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้งต่อวัน เพื่อกำจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ภายในเหล็กจัดฟัน จะต้องแปรงฟันให้สะอาดทุกครั้งหลังกินอาหาร และก่อนนอนทุกคืน เด็กๆจะต้องขัดฟันและบ้วนปากด้วยฟลูออไรด์เพื่อรักษาฟันให้แข็งแรงและป้องกันฟันผุอยู่เสมอ ผู้ปกครองเองควรจะช่วยลูกขัดฟันด้วย เพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์บริเวณเหงือกและใต้ร่องเหงือกออกให้หมด ไม่อย่างนั้นสิ่งสกปรกเหล่านี้ จะแข็งตัวเป็นหินปูนในภายหลัง

นอกจากนี้แล้วการขัดฟันยังเป็นการทำความสะอาดซอกเล็กซอกน้อย ที่เราไม่สามารถแปรงสีฟันไปถึงได้  เหล็กจัดฟันอาจจะทำให้การขัดฟันเป็นเรื่องยาก แต่คุณมีทางเลือกมากมายที่สามารถช่วยให้เหงือกของลูกน้อยแข็งแรงอยู่เสมอ เช่น ไปพบปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันหรือทันตแพทย์ของลูก เพื่อขอคำแนะนำในการดูแลช่องปาก พาลูกไปพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือน เพื่อทำความสะอาดและตรวจสุขภาพฟัน ทันตแพทย์จะบอกคุณเองว่าต้องใส่ใจบริเวณใดเป็นพิเศษ และช่วยให้คุณสามารถดูแลฟันของลูกน้อยส่วนที่อยู่ภายในหรือใกล้เคียงกับเหล็กจัดฟันให้แข็งแรงและสะอาดอยู่ตลอดเวลา โดยทันตแพทย์จะแนะนำเครื่องมือ หรือแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาฟันของลูกน้อยให้แข็งแรงขณะที่ใส่เหล็กจัดฟัน

ขั้นตอนในการรักษา ถึงแม้ว่า แผนการจัดฟันของเด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่เด็กส่วนใหญ่จะต้องติดเหล็กจัดฟันเป็นเวลา 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับปัญหาช่องปากของแต่ละคนที่ต้องได้รับการแก้ไข หลังจากจัดฟันเสร็จแล้วผู้ป่วยจะต้องสวมใส่เครื่องมือคงสภาพฟันหรือที่เรียกว่า รีเทนเนอร์ นั่นเอง จำเป็นจะต้องใส่ไว้อีกระยะหนึ่ง เพื่อคงฟันให้อยู่ในตำแหน่งใหม่ที่ได้ทำเข้าจัดให้เข้าที่ ถึงแม้ว่าการจัดฟันจะทำให้รู้สึกรำคาญไปบ้าง แต่เหล็กจัดฟันในปัจจุบันนี้นั้นใส่สบายกว่าในอดีตมาก


ซึ่งทันตแพทย์อาจจะติดเครื่องมือขยายขากรรไกรบนเพื่อขยายแนวโค้งของฟันบน เพื่อให้ฟันมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตมากขึ้นและลดการเกิดปัญหาฟันซ้อน โดยการรักษาจะเน้นการติดอุปกรณ์จัดฟันเป็นหลัก เครื่องมือขยายขากรรไกรบนจะประกอบด้วยพลาสติกสองชิ้นที่ต้องติดเข้ากับด้านข้างของฟันกรามบน และสกรูขยายขากรรไกร เมื่อขันสกรูขยายขากรรไกรอุปกรณ์จะดันขากรรไกรทั้งสองด้านออกจากกัน ทำให้ขากรรไกรค่อยๆกว้างขึ้น และเกิดพื้นที่ว่างให้ฟันแท้ของเด็กงอกขึ้นมา เมื่อแนวโค้งของฟันได้ขนาดที่เหมาะสม ฟันแท้จะสามารถงอกขึ้นมาในตำแหน่งที่เหมาะสมกว่าเดิมได้

มือกันฟันล้ม เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเทคนิคการรักษาฟันในเด็ก หากฟันน้ำนมของเด็กหักเร็วเกินไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากฟันผุหรือได้รับบาดเจ็บก็ตาม ฟันซี่อื่นๆก็อาจจะเคลื่อนมายังช่องว่างที่เกิดขึ้นได้ เพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว ทันตแพทย์จะติดตั้งเครื่องมือกันฟันล้มเพื่อรักษาช่องว่างดังกล่าวเอาไว้ และรอให้ฟันแท้งอกขึ้นมา เครื่องมือกันฟันล้ม อาจจะเป็นห่วงหรือครอบฟันชั่วคราว ที่ต้องนำไปติดกับช่องว่างของฟันและจะต้องถอดออกเมื่อเด็กเริ่มมีฟันแท้งอกขึ้นมาแล้ว วิธีนี้จะทำให้ลูกน้อยของคุณไม่ต้องจัดฟันที่มีราคาแพงและใช้เวลานานหลายปี


3
ฟรีแลนซ์โพสต์ฟรี / หมอออนไลน์: ปลิงเข้าอวัยวะ
« เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2025, 21:21:20 น. »
หมอออนไลน์: ปลิงเข้าอวัยวะ

ปลิง (leech) ชอบอยู่ในน้ำนิ่งตามหนองน้ำหรือลำธาร เมื่อคนลงอาบน้ำหรือล้างหน้าในหนองน้ำหรือลำธาร ตัวปลิงก็จะเข้าไปตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ทวารหนัก ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ อาจเข้าตา จมูก ปาก

ปลิงจะเกาะและดูดเลือดจากอวัยวะเหล่านี้ ทำให้มีรอยแผล ซึ่งจะมีเลือดออกและหยุดช้ากว่าปกติ เนื่องจากมันสร้างสารที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัว (ชื่อว่า hirudinin) ทำให้มีอาการเลือดออกจากอวัยวะเหล่านี้ เช่น ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ ปัสสาวะออกเป็นเลือด เลือดออกทางช่องคลอด


อาการ

ผู้ป่วยมักจะมีประวัติว่าสบายดีตลอดมา แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีอาการเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ถ่ายเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด เลือดออกทางช่องคลอด

มักจะได้ประวัติว่าเกิดขึ้นหลังจากลงแช่น้ำในหนองน้ำหรือลำธาร


ภาวะแทรกซ้อน

ปลิงอาจเข้าทวารหนัก แล้วไชทะลุลำไส้ ทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (มีอาการปวดท้องรุนแรง) หรือปลิงที่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ อาจทำให้เป็นก้อนนิ่วในภายหลังได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการบอกเล่า และการตรวจพบตัวปลิงในอวัยวะ

หากไม่แน่ใจ จะใช้เครื่องมือส่องตรวจดูภายในอวัยวะที่สงสัยว่ามีปลิงเข้า


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบตัวปลิงยังอยู่ในอวัยวะก็ให้คีบออก ถ้าพบรอยเลือดออกก็ให้ทำการห้ามเลือด เช่น ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดอุดให้แน่น ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวปลิงออกหรือยัง โดยเฉพาะปลิงที่เข้าท่อปัสสาวะหรืออวัยวะสืบพันธุ์ ให้สวนล้างด้วยน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น เช่น ขนาด 15% หรือ 20%

2. ถ้าเลือดออกไม่หยุด อาจต้องให้เลือด


การดูแลตนเอง

ถ้ามีเลือดออกทางช่องคลอด ถ่ายเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือด หรือสงสัยปลิงเข้าอวัยวะ ควรปรึกษาแพทย์


การป้องกัน

ถ้าจะลงไปในหนองน้ำหรือลำธาร ควรสวมเสื้อผ้าให้รัดกุม และควรใช้ยาทากันเเมลง (เช่น dimethyl phthalate) ทาตามตัว

ควรระมัดระวังในการดื่มน้ำหรือล้างหน้าตามหนองน้ำหรือลำธาร


ข้อแนะนำ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการไม่รุนแรง มักจะเสียเลือดไม่มาก และเลือดหยุดได้เอง แต่ก็เคยพบว่าปลิงอาจเข้าทวารหนักแล้วไชทะลุลำไส้ ทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (มีอาการปวดท้องรุนแรง) หรือปลิงที่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ อาจทำให้เป็นก้อนนิ่วในภายหลังได้ ดังนั้นหลังจากปลิงเข้าแล้วมีอาการที่ชวนสงสัยว่าจะมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

4
หมอออนไลน์: ปวดฟัน ฟันผุ (Dental caries/Tooth decay)

ฟันผุ (แมงกินฟัน ฟันเป็นแมง ฟันเป็นรู ฟันเป็นโพรง) เป็นโรคที่พบได้ประมาณร้อยละ 80 ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่ชอบกินน้ำตาลหรือของหวานและไม่ได้แปรงฟันให้สะอาด

สาเหตุ

เกิดจากการมีเศษอาหารค้างอยู่ตามซอกฟัน หรือมีน้ำตาล (จากอาหารที่กิน) ค้างคาอยู่ในปาก สัมผัสถูกฟันเป็นเวลานาน ทำให้แบคทีเรีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Streptococcus mutans) ที่อยู่บนแผ่นคราบฟัน* ย่อยสลายเศษอาหารพวกแป้งและน้ำตาลให้เกิดเป็นสารกรดซึ่งสามารถกัดกร่อนผิวฟันทีละน้อย จากชั้นเคลือบฟันภายนอกเข้าไปในเนื้อฟัน จนทะลุถึงชั้นโพรงประสาทฟันก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน หรือฟันอักเสบเป็นหนอง

*แผ่นคราบฟัน (dental plaque) หรือแผ่นคราบจุลินทรีย์ เป็นแผ่นคราบบาง ๆ เกาะอยู่ที่ซอกฟัน คอฟัน ร่องฟัน ประกอบด้วยเมือกเหนียวของน้ำลายและเชื้อโรคหลายชนิด ถ้าไม่ได้รับการทำความสะอาด ปล่อยให้แผ่นคราบฟันสะสมพอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นสาเหตุของฟันผุ และเหงือกอักเสบได้


อาการ

ในระยะแรกจะมีอาการปวดเสียวฟันเล็กน้อยเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด

ถ้าฟันผุมากขึ้น อาจมีเศษอาหารติดอยู่ในโพรงทำให้มีกลิ่นปากได้

ถ้าฟันผุจนถึงชั้นโพรงประสาท (ชั้นในสุด) ก็จะทำให้โพรงประสาทอักเสบ มีอาการปวดฟันรุนแรงเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด บางรายอาจมีอาการปวดแปลบ ๆ ซึ่งบ่งบอกตำแหน่งของฟันที่ปวด ถ้าปล่อยไว้จนรากฟันอักเสบเป็นหนองก็จะทำให้มีอาการปวดฟันรุนแรง

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าฟันผุไม่มาก โดยทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่ถ้าฟันผุมาก มีอาการปวดฟันหรือการอักเสบบ่อย ๆ อาจทำให้กินอาหารไม่ได้ ร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอ หรืออาจทำให้เกิดการอักเสบในช่องปาก เช่น คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ เป็นต้น

ถ้ารากฟันเป็นหนองอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามกลายเป็นไซนัสอักเสบ หรือโลหิตเป็นพิษได้

ที่ร้ายแรงคือ อาจทำให้มีการติดเชื้อรุนแรงของเนื้อเยื่อ (cellulitis) บริเวณขากรรไกรและใต้ลิ้น เรียกว่า ลุดวิกแองไจนา (Ludwig’s angina) ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณใต้คางและใต้ขากรรไกร 2 ข้าง ผิวหนังออกสีน้ำตาล มีลักษณะแข็งเป็นดานและกดเจ็บ เนื้อเยื่อใต้ลิ้นที่บวมจะดันลิ้นขึ้นข้างบนและไปข้างหลัง ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ร่วมด้วย ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยจะมีอาการอ้าปาก กลืน และพูดลำบาก และอาจทำให้หายใจลำบาก อาจเสียชีวิตจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจ หรือโลหิตเป็นพิษได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบฟันผุเป็นรู บางรายพบรากฟันอักเสบเป็นหนอง แก้มบวมปูด อาจมีไข้ หรือต่อมน้ำเหลืองในบริเวณคอบวมและปวด


การรักษาโดยแพทย์

ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันหรือถอนฟัน

ขณะที่มีอาการปวด ให้กินยาแก้ปวดระงับชั่วคราว ถ้ามีการอักเสบหรือเป็นหนอง ให้ยาปฏิชีวนะ

การดูแลตนเอง

หากมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน ฟันผุ ควรปรึกษาแพทย์ หรือทันตแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าฟันผุ ควรดูแลรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ และติดตามการรักษากับทันตแพทย์ตามนัด 

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการอมหรือจิบของกินที่มีน้ำตาล (เช่น ทอฟฟี่ ลูกอม น้ำตาล น้ำผึ้ง ของหวาน น้ำหวาน น้ำผลไม้ นม เป็นต้น) ต่อเนื่องนาน ๆ หากกินของเหล่านี้หลังกินควรรีบบ้วนปากทันที อย่าให้มีน้ำตาลตกค้างอยู่ในปาก ผู้ที่ฟันผุง่ายควรลดการกินของเหล่านี้

2. แปรงฟันให้ถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน (dental floss silk) ขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง และหลังกินอาหารทุกครั้งควรบ้วนปากทันที

3. ใช้ฟลูออไรด์ อาจเป็นในรูปของยาเม็ด ยาอมบ้วนปาก หรือยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ถ้าใช้ชนิดกิน ควรปรึกษาทันตแพทย์ถึงขนาดและวิธีการใช้ เพราะถ้าใช้มากไปอาจทำให้ฟันตกกระ หรือกินขนาดสูงมาก ๆ อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ ฟลูออไรด์จะเสริมสร้างผิวเคลือบฟันให้แข็งแรง แต่จะได้ผลดีสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 14 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังเจริญเติบโต

4. ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6-12 เดือน


ข้อแนะนำ

1. อาการปวดฟัน นอกจากสาเหตุจากฟันผุแล้วยังอาจเกิดจากฟันคุด (impacted tooth) ซึ่งหมายถึง ฟันกรามซี่สุดท้าย (ซี่ในสุด) โผล่ขึ้นไม่ได้ เนื่องจากขากรรไกรของคนเราเล็กลง ฟันซี่นี้ปกติจะขึ้นตอนอายุ 17-25 ปี เมื่อขึ้นได้ไม่สุด ทำให้บริเวณนั้นมีซอกให้อาหารติดค้าง เป็นเหตุให้บางครั้งมีการอักเสบ และปวดบวมตรงบริเวณรอบ ๆ ฟันซี่นั้น บางรายอาจมีไข้ขึ้น มักเกิดกับฟันกรามล่างซี่ในสุดทั้ง 2 ข้าง

ถ้าสงสัยควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อถอนออก ระหว่างที่ปวดอาจให้การรักษาเบื้องต้นด้วยยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ

2. ผู้ที่เป็นโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal nerve) ที่เลี้ยงบริเวณใบหน้าและศีรษะ พบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี อาจมีอาการเหมือนปวดเสียวฟัน เนื่องจากถูกกระตุ้นด้วยการแปรงฟัน การเคี้ยวอาหาร หรือการดื่มน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัด จึงอาจไปหาทันตแพทย์ ซึ่งอาจตรวจไม่พบความผิดปกติ หรือหากบังเอิญพบมีความผิดปกติเล็กน้อย (เช่น ฟันผุ) ก็อาจได้รับการทำฟันแล้วอาการปวดไม่ดีขึ้น กรณีเช่นนี้แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ทางระบบประสาท

5
โรคไต อาการเป็นยังไง เกิดจากอะไร มีกี่ระยะ? 

อาการของโรคไตจะแตกต่างกันไปตามระยะของโรคและสาเหตุ ซึ่งโรคไตมี 5 ระยะหลักๆ และอาการจะเริ่มปรากฏชัดเจนเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 เป็นต้นไป ส่วนสาเหตุหลักเกิดจากโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อการทำงานของไต


อาการของโรคไตในแต่ละระยะ

ระยะที่ 1-2: ในระยะแรกนี้มักจะ ไม่มีอาการใดๆ ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน การตรวจพบมักมาจากการตรวจสุขภาพประจำปี

ระยะที่ 3: การทำงานของไตเริ่มลดลง อาจเริ่มมีอาการ อ่อนเพลีย หรือ ปัสสาวะบ่อย ขึ้น

ระยะที่ 4: อาการเริ่มชัดเจนขึ้น เช่น บวมตามใบหน้าและแขนขา, ปวดหลัง, ปัสสาวะเป็นฟอง หรือ มีเลือดปน

ระยะที่ 5 (ไตวายเรื้อรัง): เป็นระยะสุดท้ายที่ไตทำงานได้น้อยกว่า 15% มีอาการรุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน, หายใจหอบเหนื่อย, คันตามผิวหนัง, น้ำท่วมปอด และอาจหมดสติได้


สาเหตุของโรคไต

โรคไตส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากโรคประจำตัวที่ส่งผลเสียต่อการทำงานของไตในระยะยาว

โรคเบาหวาน: เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคไต

โรคความดันโลหิตสูง: ทำให้หลอดเลือดฝอยในไตเสื่อมสภาพ

นิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะ: การอุดตันทำให้ไตทำงานหนักและเกิดความเสียหาย

การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือยาชุดสมุนไพรบางประเภท หากใช้นานเกินไป

ระยะของโรคไต
แพทย์จะแบ่งโรคไตออกเป็น 5 ระยะ โดยพิจารณาจากค่าอัตราการกรองของไต (eGFR) ที่ได้จากการตรวจเลือด

ระยะที่ 1: ไตทำงานได้ปกติ (eGFR มากกว่า 90 มล./นาที)

ระยะที่ 2: การทำงานของไตลดลงเล็กน้อย (eGFR 60-89 มล./นาที)

ระยะที่ 3: การทำงานของไตลดลงปานกลาง (eGFR 30-59 มล./นาที)

ระยะที่ 4: การทำงานของไตลดลงมาก (eGFR 15-29 มล./นาที)

ระยะที่ 5: ไตวายเรื้อรัง (eGFR น้อยกว่า 15 มล./นาที)

การทราบอาการและสาเหตุของโรคไตจะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองและเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปสู่ระยะที่รุนแรงได้ค่ะ

6
ไวรัสตับอักเสบต้นเหตุของมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคมะเร็งตับ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่พบว่าผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่มีประวัติการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีมาก่อน


ความสัมพันธ์ระหว่างไวรัสตับอักเสบและมะเร็งตับ

กระบวนการที่ไวรัสตับอักเสบนำไปสู่มะเร็งตับจะเกิดขึ้นเมื่อการติดเชื้อกลายเป็นภาวะเรื้อรัง

ตับอักเสบเรื้อรัง: เมื่อเชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน (เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิด B และ C) จะทำให้ตับเกิดการอักเสบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เกิดพังผืดและตับแข็ง: การอักเสบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้เซลล์ตับถูกทำลายและเกิดเป็นพังผืด เมื่อพังผืดสะสมมากขึ้นจะนำไปสู่ภาวะ ตับแข็ง

กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง: เมื่อตับเกิดภาวะตับแข็งแล้ว เซลล์ตับที่พยายามซ่อมแซมตัวเองอาจเกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติและกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

ทั้งนี้ ไวรัสตับอักเสบชนิด B มีความอันตรายเป็นพิเศษ เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีภาวะตับแข็งมาก่อนก็ได้


การป้องกันและลดความเสี่ยง

ฉีดวัคซีน: การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิด B ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ

ตรวจคัดกรอง: ผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับอักเสบหรือมะเร็งตับ ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันหรือหาเชื้อ

การรักษาอย่างต่อเนื่อง: หากตรวจพบว่าเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ควรเข้ารับการรักษาและติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมปริมาณเชื้อไวรัสและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับ

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการใช้เข็มฉีดยาหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น

7
จัดฟันบางนา: เคล็ดลับ วิธีรับมือ “ฟันโยก”

ฟันโยก คืออาการฟันคลอนเหมือนใกล้จะหลุด ซึ่งมักจะเจอในวัยเด็กและอาจจะเป็นสัญญาณของโรคเหงือกและฟัน หากเกิดกับผู้ใหญ่ ถ้าเกิดอาการฟันโยก ควรรีบพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจทันที เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาใหญ่ตามมา

อาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นร่วมกับฟันโยก ซึ่งอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพเหงือกและฟัน นั่นก็คือ มีเลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวมหรือมีสีแดงสด เหงือกร่น ซึ่งอาการฟันโยก
หากเกิดในวัยเด็กถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นพัฒนาการตามวัยของเขา

แต่ถ้าหากเกิดในผู้ใหญ่ก็อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นการกัดฟัน หรือเป็นสัญญาณเตือนของโรคเหงือกในระยะที่รุนแรง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่เหงือก และรวมไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูกบริเวณใกล้เคียง ทั้งหมดนี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการฟันโยก ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ทันที


การดูแลรักษารากฟันเทียม ทำได้ยากหรือไม่

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เป็นการรักษาทางตัดกรรมอย่างหนึ่งที่ ช่วยให้ผู้ที่ต้องสูญเสียฟันธรรมชาติไปให้กลับมามีฟันที่สวยงามได้อีกครั้ง ซึ่งรากฟันเทียมนั้น เป็นวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันซึ่งทำมาจากไททาเนี่ยม เป็นวัสดุที่สามารถเข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี ใช้สำหรับฝังลงไปในกระดูกขากรรไกรที่ใช้รองรับรากฟันเทียม เพื่อช่วยให้การทำรากฟันเทียมนั้น สามารถติดแน่นได้ ในปัจจุบันการสวมใส่รากฟันเทียมนั้น ถือว่าเป็นวิธีการใส่ฟันที่ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งในแต่ก่อนมักจะนิยมใช้วิธีการสวมใส่ฟันปลอมเพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป ซึ่งการสวมใส่ฟันปลอมนั้นก็มีข้อผิดพลาดและ สามารถใช้งานได้ไม่ดีเท่ากับรากฟันเทียม เพราะการสวมใส่ฟันปลอมนั้น ก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องของฟันปลอมคับหรือหลวมจนเกินไป ทำให้รับประทานอาหารได้ไม่สะดวกและส่งผลอาจจะทำให้เกิดแผลภายในช่องปากได้


และในปัจจุบันนี้การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่มาทดแทน การสวมใส่ฟันปลอมและยังเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยมีข้อดีก็คือการฝังรากฟันเทียมนั้น จะช่วยทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวว่าฟันปลอมจะหลุดขณะรับประทานอาหาร รวมไปถึง วิธีการดูแลรักษาก็ไม่ต้องซับซ้อนเหมือนกับการดูแลรักษาฟันปลอม ในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการดูแลรักษารากฟันเทียม ซึ่งใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็อาจจะมีข้อสงสัยว่ารากฟันเทียมนั้นมีวิธีการดูแลอย่างไรและดูแลได้ยากหรือไม่ ซึ่งการดูแลรักษารากฟันเทียมนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เข้ารับการรักษาด้วยว่าจะมีวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างไร

ก่อนที่จะมาถึงขั้นตอนการดูแลรักษารากฟันเทียมนั้น เราจะมาพูดถึงข้อดีของรากฟันเทียมก่อนสำหรับข้อดีของรากฟันเทียมนั้นก็คือ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ เสริมสร้างบุคลิกภาพและทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีฟันเทียมที่ดูเป็นธรรมชาติ สามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด สามารถบดเคี้ยวและรับประทานอาหารได้ดี ไม่มีปัญหาในเรื่องของการออกเสียง หากเมื่อเทียบกับการทำฟันปลอมแล้ว นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องทำการกรอกฟันข้างเคียง อีกทั้งยังช่วยป้องกันการสูญเสียฟันและกระดูกข้างเคียงได้ด้วย


หากพูดถึงในแง่ของความสวยงาม การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น ถือเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปากและฟันให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี มีความคงทนถาวร รวมไปถึง ช่วยแก้ไขปัญหาฟันเทียมขยับระหว่างพูดคุยหรือรับประทานอาหารอีกด้วย สำหรับขั้นตอนการดูแลรักษารากฟันเทียมที่หลายคนสงสัยว่า สามารถทำได้วิธีใด ต้องบอกเลยว่าการดูแลรักษารักฟันเทียมก็สามารถทำได้ ด้วยการแปรงฟันให้สะอาด รวมไปถึงการใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย หากเราดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันได้ดีและถูกวิธีก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมได้ด้วย

เนื่องจากรากฟันเทียมนั้นทำมาจากวัสดุไทเทเนี่ยมที่มีความคงทน แต่อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานของรากฟันเทียมก็จะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการรักษาด้วย หากรากฟันเทียมไม่ผุ แต่หากเกิดโรคเหงือกอักเสบ ก็อาจจะทำให้รากฟันเทียมเกิดการหลุดหรือติดเชื้อได้ ดังนั้น การดูแลรักษารากฟันเทียม ก็เหมือนกับการดูแลรักษาฟันธรรมชาติของเรา นอกจากนี้ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำ หากปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์รากฟันเทียมนั้นก็จะอยู่ได้อย่างถาวรโดยไม่เกิดปัญหาใดๆ ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปาก หากใครสนใจเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

8
จัดฟันบางนา: เมื่อ ฟันโยก ควรทำอย่างไร ?

ฟันโยก สำหรับเด็กที่ยังมีฟันแท้ขึ้นไม่ครบ 32 ซี่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุกท่าน เนื่องจากว่าฟันน้ำนมจะเกิดการโยกและหลุดออกเพื่อมีพื้นที่ให้ฟันแท้งอกขึ้นมาทดแทน แต่หากว่าเป็นการเกิดฟันโยกในวัยผู้ใหญ่กลับหมายถึงสัญญาณอันตรายที่คอยบ่งบอกว่าเหงือกหรือฟันของท่านกำลังมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในขณะนี้นั่นเอง ซึ่งหากว่าได้รับสัญญาณเตือนนี้แล้วยังไม่รีบทำการรักษา ผลสุดท้ายท่านอาจจะต้องสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติไปอย่างไม่มีวันกลับมานั่นเอง

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ ฟันโยก สัญญาณอันตรายของเหงือกและฟัน ว่าจะมีวิธีการ หรือควรทำตัวอย่างไรหากมีอาการฟันโยก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ทำอย่างไรดี เมื่อฟันโยก ?

หากว่าเป็นการเกิดฟันโยกในช่วงวัยเด็ก หากไม่มีอาการแทรกซ้อนก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมากปล่อยให้โยกและหลุดไปเองตามธรรมชาตินั่นเอง เพราะหากว่าทำการถอนออกก่อนที่จะถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมจะยิ่งทำให้มีโอกาสเกิดความเจ็บปวดและเสี่ยงเหงือกติดเชื้อตามมาด้วย

แต่หากว่าเป็นฟันโยกที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ควรเข้าพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาป้องกันให้ถูกจุด ดังต่อไปนี้

   
ฟันโยกจากการกัดฟัน

หากว่าเกิดฟันโยกจากการกัดฟันรุนแรงในขณะที่นอนหลับซึ่งสามารถแก้ไขได้ยากด้วยตนเองจึงจำเป็นที่จะต้องรักษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหา เพราะหากว่าปล่อยทิ้งไว้เพราะคิดว่าเป็นเพียงแค่เรื่องธรรมชาติ ท่านอาจจะต้องสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติ รวมถึงมีความเสี่ยงต่อกระดูกขากรรไกรอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ทันตแพทย์มักนิยมใช้การรักษา 2 แบบ สำหรับคนไข้ที่ชอบนอนกัดฟัน ก็คือ การตัดแต่งผิวเคลือบฟัน เพื่อลดการเกิดแรงกดที่เกิดจากการกัดฟัน และอีกวิธีก็คือการใส่ฟันยาง เพื่อลดแรงกดและการกระแทกกระทบของฟัน ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ใส่ฟันยางเพื่อลดการกระแทกในขณะนอนหลับนั่นเอง

   
ฟันโยกจากโรคเหงือก

หากว่าเป็นการฟันโยกจากโรคเหงือก ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายมากๆ หากปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่ทำการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ เนื่องจากว่าโรคเหงือกนั้นสามารถติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว สร้างความเจ็บปวด และทำร้ายรากฟันอย่างเป็นวงกว้างได้ ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะมีขั้นตอนต่างๆตามการวินิจฉัยตามอาการความรุนแรงของโรคเหงือกและฟันที่โยก ดังต่อไปนี้

– รับประทานยา

ในขั้นแรกสำหรับคนไข้ที่ไหวตัวเร็วเข้ารับการรักษาตั้งแต่ที่ยังไม่มีอาการร้ายแรงมากนัก หรือยังไม่มีโรคแทรกซ้อนอื่นๆร่วมด้วย ทันตแพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทันตแพทย์จะให้ผู้ที่มีอาการฟันโยกในระยะเริ่มต้นทานยาเหล่านี้เพื่อแก้อาการปวด และฆ่าเชื้อก่อนจะเริ่มต้นขั้นอื่นๆ แต่หากว่ารับประทานยาปฏิชีวนะเหล่านี้แล้วมีอาการที่ดีขึ้นก็จะหยุดเพียงแค่ขั้นตอนนี้

– ขูดหินปูน

ทันตแพทย์อาจจะแนะนำให้คนไข้ทำการขูดหินปูน เพื่อกำจัดคราบสกปรกที่ก่อตัวเป็นคราบ และเป็นหนึ่งในการป้องกันต้นเหตุของโรคเหงือกร้ายแรง

– เกลารากฟัน

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ในการทำความสะอาดที่ลึกลงไปบริเวณรากฟัน เพื่อฆ่าเชื้อและสิ่งสกปรกต่างๆที่เป็นต้นเหตุของโรคเหงือก และก่อให้เกิดฟันโยก

– ใส่เฝือกฟัน

หากว่าอาการฟันโยกยังอยู่ในลักษณะที่ไม่ได้ใกล้จะหลุด ทันตแพทย์จะใช้วิธีใส่เฝือกฟันเพื่อยึดติดไม่ให้ฟันที่โยกนั้นหลุดออกมา

– ฝังรากฟันเทียมและใส่สะพานฟัน

หากว่ามีอาการฟันโยกอยู่ในขั้นรุนแรง ทันตแพทย์จำเป็นต้องถอนฟันซี่ที่โยกออก และทำการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม หรือใส่สะพานฟันเพื่อป้องกันฟันซี่ข้างๆฟันที่โยกล้มทับกันอีก

ทั้งหมดนี้ก็คือการรักษาอาการฟันโยกเบื้องต้น ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นจากโรคเหงือกที่กำลังติดเชื้อ และพฤติกรรมความผิดปกติกัดฟันในขณะนอนหลับ เมื่อท่านเริ่มมีอาการฟันโยกให้นึกไว้เสมอว่าฟันและเหงือกของท่านกำลังจะมีปัญหา อย่าละเลยสัญญาณเตือนเหล่านี้โดยเด็ดขาด

9
ของตกแต่งบ้าน คอนโดฯ พื้นที่ขนาดเล็ก เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์

การเลือกของแต่งบ้านและคอนโดฯ ในพื้นที่ขนาดเล็กเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่หากเลือกให้ถูกวิธี ก็สามารถทำให้พื้นที่จำกัดดูกว้างขวางและน่าอยู่ขึ้นได้ค่ะ ลองใช้เทคนิคเหล่านี้ดูนะคะ


1. เน้นเฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์
เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เก็บของได้: เช่น เตียงที่มีลิ้นชักใต้เตียง, โซฟาที่เปิดเก็บของด้านในได้ หรือออตโตมัน (เก้าอี้นั่งเสริม) ที่มีช่องเก็บของ

ใช้เฟอร์นิเจอร์แบบพับเก็บได้: โต๊ะทานอาหารแบบพับได้ หรือโต๊ะกาแฟที่ขยายขนาดได้ จะช่วยให้คุณประหยัดพื้นที่ได้มาก

เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์โปร่ง: เฟอร์นิเจอร์ที่มีขาโลหะหรือขาไม้สูงจะช่วยให้ห้องดูโปร่งและไม่อึดอัด


2. ใช้สีสว่างและโทนอ่อน
ทาสีผนังด้วยสีขาวหรือสีอ่อน: สีสว่างจะช่วยสะท้อนแสง ทำให้ห้องดูกว้างและสว่างขึ้น

เลือกของตกแต่งที่มีโทนสีเข้ากัน: การใช้โทนสีใกล้เคียงกันทั้งห้องจะช่วยให้บ้านดูเป็นระเบียบและสบายตา ไม่ควรใช้สีสันฉูดฉาดมากเกินไป


3. จัดแสงให้เหมาะสม
ใช้แสงธรรมชาติให้เต็มที่: อย่าปิดกั้นแสงที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างด้วยผ้าม่านที่หนาเกินไป

เพิ่มไฟส่องสว่างในห้อง: การใช้โคมไฟตั้งพื้นหรือโคมไฟติดผนังในจุดต่างๆ จะช่วยเพิ่มมิติให้ห้องดูน่าสนใจมากขึ้น


4. เพิ่มพื้นที่ด้วยของตกแต่ง
ติดกระจก: กระจก เป็นของตกแต่งที่วิเศษสำหรับพื้นที่เล็กๆ เพราะจะช่วยสะท้อนภาพและแสง ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นเป็นสองเท่า

ใช้พื้นที่แนวตั้งให้เป็นประโยชน์: ติดชั้นวางของแบบบิวต์อิน (Built-in) หรือชั้นวางของติดผนังสูงจรดเพดาน เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของโดยไม่กินพื้นที่พื้นห้อง

ลดของตกแต่งที่ไม่จำเป็น: จัดระเบียบและเก็บของให้เข้าที่ จะช่วยให้ห้องดูเรียบร้อยและกว้างขวางขึ้น

การเลือกของแต่งบ้านในพื้นที่ขนาดเล็ก ไม่ใช่แค่การเลือกของสวยๆ แต่คือการเลือกของที่ช่วยแก้ปัญหาและทำให้พื้นที่ทุกตารางนิ้วคุ้มค่าที่สุดค่ะ

10
วัดนางสาว ไหว้พระ วัดสวย สมุทรสาคร ที่เที่ยววัดใกล้กรุงเทพ ของ สายบุญ

วัดนางสาวตั้งอยู่ในอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นวัดเก่าแก่ที่โดดเด่นและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก

ประวัติความเป็นมาและตำนาน
มีตำนานเล่าว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เมื่อเกิดสงครามกับพม่า ชาวบ้านได้อพยพหนีภัยมาหลบซ่อนตัวในโบสถ์ร้างริมแม่น้ำท่าจีน และมีสองพี่น้องหญิงสาวได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าหากรอดพ้นจากภัยสงครามจะช่วยกันบูรณะวัดแห่งนี้ เมื่อสงครามสงบลง น้องสาวได้ทำตามสัจจาธิษฐานด้วยการบูรณะโบสถ์จนสำเร็จ จึงเป็นที่มาของชื่อ "วัดนางสาว" ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า "วัดน้องสาว"


สิ่งศักดิ์สิทธิ์และจุดเด่น

โบสถ์มหาอุตม์: เป็นโบราณสถานที่หาชมได้ยากมากในประเทศไทย เนื่องจากเป็นอุโบสถเก่าแก่ที่ก่อสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะพิเศษคือมีประตูเข้าออกเพียงประตูเดียว

หลวงพ่อมหาอุตม์: ประดิษฐานเป็นพระประธานภายในโบสถ์มหาอุตม์ และเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ

หลวงพ่อดำ: เป็นพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารของวัด และเป็นที่นิยมของผู้มาไหว้พระขอพร

อุทยานมัจฉา: บริเวณริมแม่น้ำท่าจีนหน้าวัดมีบรรยากาศที่ร่มรื่นและเงียบสงบ เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลาสวายจำนวนมาก นักท่องเที่ยวสามารถมาให้อาหารปลาและพักผ่อนหย่อนใจได้

วัดนางสาวเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และเหมาะสำหรับสายบุญที่ต้องการมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของโบราณสถานอันทรงคุณค่า

11
สร้างรายได้ จากการขายเมนูข้าวผัดต้มยำ อาหารจานเดียวรสชาติจัดจ้าน

ข้าวผัดต้มยำเป็นอาหารไทยยอดนิยมที่ผสมผสานรสชาติจัดจ้านของต้มยำเข้ากับข้าวผัดหอมอร่อยได้อย่างลงตัว เมนูนี้มีหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์และรสชาติที่แตกต่างกันไปข้าวผัดต้มยำเป็นอาหารไทยรสชาติจัดจ้านที่ผสมผสานระหว่างกลิ่นหอมและรสเผ็ดของต้มยำกับความสบายของข้าวผัด อาหารฟิวชั่นจานนี้รวบรวมสุดยอดอาหารไทยไว้ด้วยกัน

ข้าวผัดต้มยำ คืออะไร ?

ข้าวผัดต้มยำได้แรงบันดาลใจมาจากต้มยำซึ่งเป็นอาหารไทยขึ้นชื่อที่มีรสชาติจัดจ้านและจัดจ้าน โดยการนำส่วนผสมหลักของต้มยำมาใส่ในข้าวผัด ทำให้ข้าวผัดจานนี้กลายเป็นอาหารรสชาติเข้มข้นหอมอร่อยที่ทั้งอิ่มอร่อยและตื่นเต้นไปกับรสชาติ ส่วนผสมที่สำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของข้าวผัดต้มยำอยู่ที่วัตถุดิบที่ดึงเอาความอร่อยของต้มยำออกมาได้:

ข้าวหอมมะลิ

- ข้าวฐานสมบูรณ์แบบ มีความแน่นเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม กุ้งหรือไก่

– ทางเลือกโปรตีนทั่วไป แต่คุณยังสามารถใช้เต้าหู้สำหรับแบบมังสวิรัติได้อีกด้วย เครื่องต้มยำ

– ผสมผสานความเข้มข้นของตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด พริก และกะปิ ให้รสชาติต้มยำอันเป็นเอกลักษณ์ กระเทียมและหัวหอม
– เพิ่มกลิ่นหอมโดยรวม น้ำปลาและน้ำมะนาว
– เพิ่มความเข้มข้นและรสเปรี้ยว พริกและสมุนไพรไทย
– เพื่อเพิ่มความร้อนและความหอม ไข่
– ไม่จำเป็น แต่จะช่วยให้มีเนื้อครีมมากขึ้น วิธีทำข้าวผัดต้มยำ เตรียมข้าว
– ใช้ข้าวหอมมะลิหุงสุกที่เย็นแล้วเพื่อให้ข้าวมีเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด ผัดเครื่องเทศ
– ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนแล้วผัดกระเทียมและหัวหอมจนมีกลิ่นหอม ปรุงโปรตีน
– ใส่กุ้งหรือไก่แล้วผัดจนสุก เพิ่มรสชาติต้มยำ
– ผสมเครื่องต้มยำ น้ำปลา และน้ำเล็กน้อยเพื่อสร้างรสชาติที่ลงตัว ผัดข้าว
– ใส่ข้าวและคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน ปรุงรสและตกแต่งให้เสร็จ
– ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว พริกเพิ่มเติม หรือสมุนไพรตามต้องการ เสิร์ฟร้อนๆ
– ตกแต่งด้วยผักชีสด มะนาวฝาน และไข่ดาวด้านบน (ตามชอบ) ทำไมคุณถึงควรลอง รสชาติที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์
– ความคิดสร้างสรรค์ในการปรับรสชาติข้าวผัดแบบดั้งเดิม รวดเร็วและง่ายดาย
– สามารถทำได้ภายใน 20 นาที ปรับแต่งได้
– ปรับระดับเครื่องเทศหรือเพิ่มโปรตีนชนิดต่างๆ ประสบการณ์อาหารไทยแบบแท้ๆเหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบอาหารไทย

ข้าวผัดต้มยำเป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับทุกคนที่ชอบอาหารรสจัด หอมกรุ่น และเผ็ดร้อน ไม่ว่าคุณจะชอบต้มยำหรือแค่ชอบข้าวผัด เมนูนี้ก็เข้ากันได้ดีกับทั้งสองอย่าง ลองทำกินเองที่บ้านแล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงรสชาติอันเข้มข้นของไทย


12
สร้างรายได้ จากการขายเมนูข้าวผัดหมู เมนูยอดนิยมบ่งบอกถึงความเรียบง่ายและรสชาติที่โดดเด่นของอาหารไทย

ข้าวผัดหมูเป็นเมนูยอดนิยมที่แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายและรสชาติที่โดดเด่นของอาหารไทย อาหารจานเดียวจานนี้ผสมผสานหมูชิ้นนุ่มเข้ากับข้าวหอมมะลิ ทำให้ได้เมนูที่น่าพึงพอใจและมีรสชาติที่อร่อยถูกใจทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาอาหารจานด่วนหรืออาหารจานอุ่นๆ เพื่อแบ่งปันกับเพื่อนและครอบครัว ข้าวผัดหมูก็เป็นตัวเลือกยอดนิยมเสมอ

ข้าวผัดหมูให้พลังงานและความร้อนจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน นอกจากนี้ยังมีวิตามินและแร่ธาตุจากผักต่างๆ
ส่วนผสมที่สำคัญ:
หมู : โดยทั่วไปจะใช้เนื้อหมูที่แล่บางหรือหมูบดเพื่อเพิ่มรสชาติที่อร่อยให้กับอาหารจานนี้
ข้าวหอมมะลิ : ข้าวหอมมะลิมีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม หอม อร่อย เหมาะเป็นฐานในการผัด ทำให้จานนี้ทั้งอิ่มท้องและหอมอร่อย
ผัก : โดยทั่วไป มักจะใส่หัวหอม มะเขือเทศ และบางครั้งก็มีแครอทเพิ่มเข้าไป เพื่อความกรุบกรอบและความสดใหม่
เครื่องปรุงรส : น้ำปลา ซีอิ๊ว และน้ำตาล จะทำให้ได้รสชาติหวานเค็มที่สมดุล พริกไทยขาวเล็กน้อยจะช่วยเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนและเข้มข้น
ไข่ : มักเสิร์ฟไข่ดาวไว้ด้านบนเพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับจานอาหาร
เครื่องปรุง : เพิ่มผักชีสด แตงกวา และมะนาวฝานเป็นแว่นเพื่อให้สดชื่น

วิธีการทำอาหาร:
ขั้นตอนการทำเริ่มจากการผัดหมูสไลซ์ในน้ำมันร้อนๆ จนเหลืองกรอบ จากนั้นใส่หอมใหญ่และผักต่างๆ ตามด้วยข้าวหอมมะลิที่หุงสุกแล้ว เคล็ดลับในการทำข้าวผัดหมูให้อร่อยคือต้องทำให้ข้าวแห้งเล็กน้อยก่อนทอดเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊ว และน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติกลมกล่อมลงตัว จากนั้นเสิร์ฟพร้อมไข่ดาวด้านบน ตกแต่งด้วยสมุนไพรสดและมะนาว

ข้อควรระวัง
ควรเลือกหมูที่มีมันน้อย
ควรปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสในปริมาณที่พอเหมาะ
ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

ทำไมคุณควรลอง:ข้าวผัดหมูเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของอาหารไทยที่ผสมผสานรสชาติหวาน เค็ม เปรี้ยว และเผ็ดเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำง่ายแต่ก็อิ่มท้องได้อย่างเต็มที่ หมูกรอบและไข่ที่เข้าคู่กับข้าวสวยทำให้ทุกคำที่กัดลงไปเป็นประสบการณ์ที่แสนสบายและน่ารับประทาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ร้านอาหารริมทางหรือทำอาหารที่บ้าน ข้าวหมูทอดก็เป็นอาหารไทยที่ขึ้นชื่อที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง


13
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ครรภ์เป็นพิษ/โรคพิษแห่งครรภ์ (Toxemia of pregnancy)

ครรภ์เป็นพิษ (โรคพิษแห่งครรภ์ ก็เรียก) หมายถึง ภาวะผิดปกติที่พบในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งประกอบด้วยอาการ 3 ประการร่วมกัน ได้แก่ อาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะ

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของหญิงตั้งครรภ์ มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์

ครรภ์เป็นพิษยังแบ่งเป็น โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชัก (preeclampsia) ซึ่งมีเพียงอาการบวม ความดันโลหิตสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ ไม่มีอาการชักหรือหมดสติ กับโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) ซึ่งจะมีอาการชักหรือหมดสติ อาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 ของโรคครรภ์แห่งพิษระยะก่อนชักอาจกลายเป็นโรคครรภ์แห่งพิษระยะชัก

หลังจากคลอดแล้วอาการของครรภ์เป็นพิษจะค่อย ๆ หายไปได้เอง


สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับความผิดปกติของรกซึ่งมีเลือดไปเลี้ยงได้น้อยกว่าปกติ อันอาจเนื่องมาจากมีเลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อย หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกมีความผิดปกติ มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

มักพบในหญิงตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรืออายุมากกว่า 40 ปี คนที่อ้วน ครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก หญิงที่เคยเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน หรือมีประวัติว่ามารดาหรือพี่สาวน้องสาวเป็นครรภ์เป็นพิษ และในผู้หญิงที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ เป็นต้น)


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดตรงใต้ลิ้นปี่ บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า

ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักในระยะรุนแรง จะพบความดันโลหิตสูงเกิน 160/110 มม.ปรอท อาจมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เอนไซม์ตับขึ้นสูงและภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (เลือดออกง่าย มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง) อาจมีอาการปวดตรงลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวารุนแรง เนื่องจากมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มตับ อาจมีอาการหายใจหอบ (เพราะปอดบวมน้ำ) ปัสสาวะออกน้อย (เพราะไตวายเฉียบพลัน)

ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก จะมีอาการชักหรือหมดสติ ซึ่งอาจเกิดก่อนคลอด ขณะคลอด หรือภายใน 1 สัปดาห์หลังคลอด

ภาวะแทรกซ้อน

อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ของหญิงที่เป็นครรภ์เป็นพิษ เช่น ตามัว สายตาเลือนลาง (เนื่องจากความผิดปกติของจอประสาทตาหรือศูนย์การเห็นที่สมองส่วนท้ายทอย) ตับวาย ไตวาย ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เซลล์สมองตายเนื่องจากสมองขาดเลือด เลือดออกในสมอง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาในอนาคต

อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า "HELLP syndrome" ซึ่งประกอบด้วยภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (H - hemolysis) เอนไซม์ตับสูง (EL - elevated liver enzymes) และเกล็ดเลือดต่ำ (LP - low platelet count) ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรง มีอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์

ในรายที่ครรภ์เป็นพิษชนิดร้ายแรงหรือโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) มีอัตราตายถึงร้อยละ 10-15


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ความดันโลหิตช่วงบน (ซิสโตลี) ≥ 140 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง (ไดแอสโตลี) ≥ 90 มม.ปรอท (ถ้าช่วงบน ≥ 160 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง ≥ 110 มม.ปรอท ก็ถือว่ารุนแรง)

เท้าบวม กดมีรอยบุ๋ม

อาจตรวจพบภาวะซีด จ้ำเขียว เลือดออก

นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบรีเฟล็กซ์ของข้อไว (hyperreflexia) หรือภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ซึ่งใช้เครื่องฟังปอดจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) ซึ่งถ้ายิ่งมีมาก (ขนาด 3+ หรือ 4+) ก็ถือว่ายิ่งรุนแรง

นอกจากนี้อาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเลือดพบเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สารบียูเอ็นรวมทั้งครีอะตินีนขึ้นสูง และเกล็ดเลือดต่ำ การตรวจอัลตราซาวนด์ดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นไม่มาก ไม่จำเป็นต้องพักในโรงพยาบาล แนะนำให้นอนพักที่บ้านให้เต็มที่ทั้งวัน (การนอนพักจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังสมอง หัวใจ ตับ ไต และรกได้ดี อาการของโรคอาจทุเลาได้) และนัดผู้ป่วยมาตรวจสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 2 วัน หรือส่งพยาบาลไปเยี่ยมบ้าน เพื่อประเมินอาการทุกวัน

ถ้าไม่ดีขึ้น หรือความดันช่วงบน ≥ 140 หรือช่วงล่าง ≥ 90 มม.ปรอท หรือมีปัญหาไม่สามารถติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนพักให้เต็มที่ ทำการตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจรีเฟล็กซ์ของข้อ ตรวจดูสารไข่ขาวในปัสสาวะ และฟังเสียงหัวใจทารกบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องตรวจเลือด (ดูจำนวนเกล็ดเลือด อิเล็กโทรไลต์ บียูเอ็น ครีอะตินีน เอนไซม์ตับ) ทุก 1-2 วัน

ถ้าพบว่ามีความดัน ≥ 160/110 มม.ปรอท จะให้ยาลดความดัน เช่น ไฮดราลาซีน (hydralazine) 5-10 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ควรควบคุมให้ความดันช่วงล่างอยู่ระหว่าง 90-100 มม.ปรอท (ถ้าลดต่ำกว่านี้อาจทำให้รกขาดเลือดไปเลี้ยงได้) ห้ามให้ยาลดความดันกลุ่มยาต้านเอช เพราะอาจทำให้ทารกพิการและมารดาไตวายได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงรกได้ไม่ดี (ยกเว้นในรายที่มีปัสสาวะออกน้อยเนื่องจากไตวาย อาจให้ฟูโรซีไมด์)

ถ้าเป็นมาก อาจฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) เพื่อป้องกันอาการชักและช่วยลดความดัน

เมื่อครรภ์ใกล้กำหนดคลอด (มากกว่า 34 สัปดาห์) ควรหาวิธีทำให้เด็กคลอด โดยการใช้ยากระตุ้น หากไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง

2. หากมีอาการชัก แพทย์จะฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต หรือไดอะซีแพมควบคุมอาการชัก และรีบทำการคลอดเด็ก หลังคลอดอาจต้องให้ยาป้องกันชักต่อไปอีก 1-7 วัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น หญิงที่ตั้งครรภ์มีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    บริโภคอาหารพวกโปรตีนให้มาก
    ลดการบริโภคเกลือและอาหารเค็ม
    ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8  แก้ว       


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดท้องมาก อาเจียนมาก หายใจหอบ ดีซ่าน ซีด จ้ำเขียว เลือดออกจากช่องคลอดหรือที่อื่น ๆ บวม ปัสสาวะออกน้อย หรือชัก 
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน ก่อนตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน รักษาโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) ให้ได้ผล

เมื่อตั้งครรภ์ ควรรีบฝากครรภ์ แพทย์จะสามารถตรวจพบอาการครรภ์เป็นพิษและให้การดูแลรักษาตั้งแต่แรก ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนลงได้


ข้อแนะนำ

โรคนี้สามารถให้การดูแลรักษาให้ปลอดภัยได้ทั้งมารดาและเด็กในครรภ์ ถ้ามีการตรวจพบตั้งแต่เริ่มเป็น ดังนั้นจึงควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ หมั่นชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิตและตรวจปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรแนะนำไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล

14
หมอออนไลน์: ไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal meningitis)

ไข้กาฬหลังแอ่น (ไข้กาฬนกนางแอ่น ก็เรียก) หมายถึง โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มเมนิงโกค็อกคัส ที่มาของชื่อโรคนี้เข้าใจว่าคงเรียกตามลักษณะอาการของโรค ซึ่งพบว่าถ้าหากเป็นรุนแรงจะมีไข้และผื่นขึ้นลักษณะเป็นจุดแดงจ้ำเขียวหรือดำคล้ำ (จึงเรียกว่า “ไข้กาฬ” ซึ่งแปลว่า ไข้ที่มีผื่นสีดำคล้ำตามผิวหนัง) และผู้ป่วยจะมีอาการคอแข็ง คอแอ่น หลังแอ่น (จึงเรียกชื่อโรคตอนท้ายว่า “หลังแอ่น”) ต่อ ๆ มาจึงเพี้ยนเป็น “ไข้กาฬนกนางแอ่น” โรคนี้ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อจากนกนางแอ่นแต่อย่างใด

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดนี้พบได้ประปรายตลอดปี (มีรายงานการป่วยเป็นโรคนี้ประมาณปีละ 20-100 ราย) บางครั้งอาจมีการระบาด จัดเป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียกลุ่มเมนิงโกค็อกคัส (meningococcus) ที่มีชื่อเรียกว่าไนซีเรียเมนิงไจทิดิส (Neisseria meningitidis)

เชื้อนี้แบ่งเป็น 13 ชนิด แต่มีอยู่ 5 ชนิดที่สามารถก่อโรคในคน ได้แก่ ชนิด A, B, C, Y และ W135 ซึ่งมีอยู่ในลำคอของคนเรา คนที่แข็งแรง เชื้อจะอาศัยอยู่ในลำคอโดยไม่ก่อให้เกิดโรค เรียกว่า เป็นพาหะ (carrier) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ซึ่งพบว่าในคนทั่วไปเป็นพาหะของโรคนี้ประมาณร้อยละ 5 (เคยมีการสำรวจพบว่า เด็กนักเรียนในบางท้องที่จะเป็นพาหะของโรคนี้ถึงร้อยละ 14)

เชื้อนี้สามารถติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยหรือพาหะไอหรือจามรด ใช้ของใช้ร่วมกัน (เช่น ดื่มน้ำจากแก้วเดียวกัน สูบบุหรี่มวนเดียวกัน) จูบปากกัน หรือสัมผัสถูกน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยหรือพาหะ

ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เมื่อรับเชื้อเข้าไป ก็จะป่วยเป็นโรคนี้ โดยเชื้อเข้าไปในลำคอก่อน แล้วเข้าไปในกระแสเลือด ไปที่เยื่อหุ้มสมอง ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ บางรายเชื้อจะเข้าไปอยู่ในอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ และรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ภายในเวลาสั้น ๆ

ระยะฟักตัวของโรค 2-10 วัน (เฉลี่ย 3-4 วัน)


อาการ

อาการสำคัญคือ ไข้ ผื่นขึ้น และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจมีอาการครบทั้ง 3 อย่าง หรือ 2 ใน 3 อย่างนี้ ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันไป

เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดเมื่อยมากตามหลังและแขนขาคล้ายไข้หวัดใหญ่ 2-3 วันต่อมาจะมีผื่นขึ้น ลักษณะเป็นจุดแดงจ้ำเขียวแบบไข้เลือดออก มีขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่เท่าปลายเข็มหมุดจนเป็นรอยฟกช้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปร่างคล้ายดาวกระจาย (เป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้) รอยฟกช้ำพบมากตามขาและเท้า และตรงรอยที่มีแรงกด (เช่น ขอบกางเกง ขอบถุงเท้า) แต่ก็อาจพบที่มือ แขน และลำตัว รวมทั้งตามเยื่อเมือก เช่น เยื่อบุตา ได้

ในรายที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) คอแอ่น หลังแอ่น อาจมีอาการสับสน เพ้อคลั่งร่วมด้วย ผู้ป่วยส่วนน้อยที่อาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว หมดสติ ส่วนในเด็กอาจมีอาการชักร่วมด้วย

ในรายที่เป็นรุนแรงจะมีเลือดออกในลำไส้และต่อมหมวกไต เกิดภาวะช็อก หมดสติ และอาจตายได้ภายใน 1-4 วัน ภาวะรุนแรงมักเกิดในเด็กเล็ก เด็กนักเรียน และคนหนุ่มสาว


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมกับการติดเชื้อในเลือด (พบจุดแดงจ้ำเขียวร่วมด้วย) มักมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง คือ ภาวะโลหิตเป็นพิษ และภาวะเลือดจับเป็นลิ่มทั่วร่างกาย (disseminated intravascular coagulation หรือ DIC) ซึ่งทำให้มีเลือดตามอวัยวะต่าง ๆ (เช่น ปอด ทางเดินปัสสาวะ ทางเดินอาหาร ต่อมหมวกไต) และภาวะขาดเลือดและเนื้อตายของปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ผู้ป่วยมักเกิดภาวะช็อก และตายในเวลารวดเร็ว

นอกจากนี้ยังอาจมีการติดเชื้อของอวัยวะต่าง ๆ แทรกซ้อน เช่น ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นต้น

ส่วนภาวะแทรกซ้อนทางสมองในระยะเฉียบพลัน อาจมีภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง สมองบวม (cerebral edema) ภาวะเลือดจับเป็นลิ่มในหลอดเลือดดำสมอง (cerebral venous thrombosis) ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) เป็นต้น

ในผู้ป่วยที่รักษาจนรอดชีวิต อาจมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง (ดู “โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ”) ประมาณร้อยละ 10-20 และพบว่าเด็กที่เป็นโรคนี้กลายเป็นหูหนวกร้อยละ 10


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบไข้สูง อาจพบอาการสับสน เพ้อคลั่ง ซึม ส่วนอาการหมดสติ หรือชัก อาจพบได้ในผู้ป่วยบางราย

มักตรวจพบจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง เยื่อบุตา

มักพบรอยฟกช้ำรูปดาวกระจายตามขา เท้า ขอบกางเกง ขอบถุงเท้า

ในผู้ใหญ่ มักตรวจพบอาการคอแข็งร่วมด้วย ส่วนในเด็กเล็ก อาจตรวจไม่พบอาการคอแข็ง แต่จะพบกระหม่อมโป่งตึงได้

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการเจาะหลัง จะพบความดันน้ำไขสันหลังสูง น้ำไขสันหลังขุ่น ตรวจพบเชื้อเมนิงโกค็อกคัสในน้ำไขสันหลัง

นอกจากนี้ อาจนำเลือดและสารน้ำที่เจาะจากรอยจ้ำเขียวที่ผิวหนังไปตรวจหาเชื้อโดยการย้อมสีหรือเพาะเชื้อ

บางรายแพทย์อาจทำการถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อค้นหาความผิดปกติในสมอง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและรักษาแบบประคับประคอง และให้ยาปฏิชีวนะซึ่งมีให้เลือกหลายชนิด(เช่น เพนิซิลลินจี, เซทริอะโซน)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าเป็นไม่รุนแรง (ไม่มีการติดเชื้อในเลือดร่วมด้วย) และได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม ก็มักจะหายเป็นปกติ แต่ถ้าเป็นรุนแรงหรือได้รับการรักษาล่าช้า ก็อาจเสียชีวิตหรือมีภาวะแทรกซ้อนทางสมองตามมา โดยเฉลี่ยมีอัตราตายประมาณร้อยละ 15-20


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ก้มคอไม่ลง (คอแข็ง) หลังแอ่น อาเจียนรุนแรง ซึม ชัก หรือหมดสติ  หรือมีไข้ร่วมกับมีรอยฟกช้ำจ้ำเขียว หรืออาเจียนเป็นเลือด ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อพบว่าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

1. สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคนี้ เช่น คนที่อยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วย นักเรียนที่อยู่ในห้องเดียวกับผู้ป่วย ทหารที่อยู่ในค่ายพักเดียวกับผู้ป่วย ผู้ต้องขังที่อยู่ในห้องขังเดียวกับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วย เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์ แพทย์จะให้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งกินป้องกันไม่ให้เป็นโรค เช่นไรแฟมพิซิน, ไซโพรฟล็อกซาซิน, เซฟทริอะโซน

2. สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ในเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ (เช่น ผู้ที่เดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย, นักท่องเที่ยวที่จะไปในทวีปแอฟริกา เช่น ซูดาน เอธิโอเปีย ไนจีเรีย เป็นต้น) หรือผู้ที่ไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรปและอเมริกาซึ่งมีข้อกำหนดให้ต้องฉีดวัคซีนชนิดนี้ ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น (meningococcal vaccine) ซึ่งสามารถรับบริการได้ ณ สถานที่ต่อไปนี้

    สถาบันบำราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี
    ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ
    ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าเรือกรุงเทพคลองเตย
    กลุ่มงานควบคุมโรคระหว่างประเทศ ในบริเวณตรวจคนเข้าเมือง ถนนสาทรใต้
    สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้

3. สำหรับคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกัน เนื่องจากโรคนี้พบได้น้อย มีโอกาสเสี่ยงไม่มาก ถ้าบังเอิญมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ก็สามารถใช้ยาป้องกันได้ เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ วัคซีนที่มีใช้อยู่ในประเทศไทยป้องกันเชื้อชนิด A, C, Y, W135 แต่ไม่ได้ป้องกันชนิด B ซึ่งเป็นเชื้อที่พบมากในบ้านเรา ดังนั้นฉีดวัคซีนไปก็ไม่อาจป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อชนิด B

สำหรับคนทั่วไป แนะนำให้ปฏิบัติตามหลักการป้องกันโรคติดต่อทางระบบหายใจ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีผู้คนแออัดหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก
    สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด
    อย่าไอ จาม รดกัน
    อย่าดื่มน้ำแก้วเดียวกับผู้อื่น หรือสูบบุหรี่มวนเดียวกับผู้อื่น
    ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ เมื่อสัมผัสถูกน้ำมูก น้ำลายของผู้อื่น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถึงแม้จะพบได้น้อย แต่ถ้าเป็นแล้วมักมีความรุนแรง หากมีอาการไข้ ผื่นขึ้น (จุดแดงจ้ำเขียว) ร่วมกับอาการปวดศีรษะและอาเจียน ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. โรคนี้นอกจากจะติดจากผู้ป่วยโดยตรงแล้ว ก็ยังอาจติดจากเสมหะและน้ำลายของผู้ที่เป็นพาหะ (ซึ่งไม่มีอาการ) ได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย คนทั่วไปควรเคร่งครัดในการปฏิบัติตัวตามหลักการป้องกันโรคติดต่อทางระบบหายใจ

3. ควรแนะนำผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไปรับยาป้องกันจากสถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็วที่สุด

15
รถรับจ้างราคาถูก รถรับจ้างจังหวัดชลบุรี ให้บริการสถานที่ใดบ้าง

บริการ รถรับจ้างจังหวัดชลบุรี เราเป็นผู้นำด้านการให้บริการ รับจ้างขนของ ในเขตจังหวัดชลบุรี และภาคตะวันออกทุกจังหวัด เรามีบริการรถรับจ้างที่หลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น รถกระบะรับจ้างจังหวัดชลบุรี รถ 6 ล้อรับจ้างจังหวัดชลบุรี รถสิบล้อรับจ้างจังหวัดชลบุรี รถเทรลเลอร์รับจ้างจังหวัดชลบุรี และ รถเฮี๊ยบรับจ้างจังหวัดชลบุรี ทุกบริการของรถต่างมีความแตกต่างในการให้บริการขนย้าย อย่างเช่น งานบริการ ขนย้ายบ้าน ขนย้ายของสินค้าอุปโภคบริโภค

ส่วนใหญ่ก็จะใช้บริการ รถกระบะรับจ้าง และ รถหกล้อรับจ้าง ส่วนงานที่เป็นขนย้ายวัตถุดิบทางการเกษตรปุ๋ย หรือสินค้าที่มีขนาดใหญ่และหนักก็จะใช้บริการ รถสิบล้อรับจ้าง แต่หากท่านต้องการที่จะยกของ ยกเครื่องจักร ยกต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่แน่นอนครับคงต้องเป็น รถเฮียบรับจ้าง บริการเราให้บริการแก่ลูกค้ามาตลอดเลยเวลากว่า 10 ปี เรามีความชำนาญและมีความเก่งที่สำคัญงานที่เราให้บริการแก่ลูกค้าแต่ละท่านเน้นที่คุณภาพและราคาถูกเท่านั้น

ตามนโยบายที่เรา ตั้งไว้ตั้งแต่เริ่ม กิจการการรับ รถจ้างขนของจังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ติดทะเลและมีธรรมชาติทางทะเลที่สวยงามหลากหลาย วันนี้เราจะมาอัพเดทสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวในจังหวัดชลบุรี สำหรับท่านที่มาแวะมาเยี่ยมมาเที่ยวในจังหวัดชลบุรีแห่งนี้ท่านควรจะมาเที่ยวสถานที่ใดบ้าง ขอแนะนำเลยละกันได้แก่

1. หาดบางแสน หาดบางแสนเป็น เป็นหาดที่อยู่ไม่ไกลจากชลบุรี อยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยบูรพา สำหรับใครที่ต้องการมาพักผ่อน มาเล่นน้ำทะเล ตอนเย็นๆ ดูพระอาทิตย์ตก นั่งบานาน่าโบ๊ทหรือปั่นจักรยาน ลองแวะมาเที่ยวที่นี่ดูท่านจะรู้สึกว่า มีความสุขและอบอุ่น และมีอาหารที่เลิศรสจริงๆ

2. เขาสามมุข เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งที่ไม่ไกลจากหาดบางแสนมากนะ จะมีศาลเจ้าแม่เขาสามมุข และ จุดชมวิวบนเขาที่สวยงาม และสามารถนำอาหาร มาให้ลิงที่อยู่บนเขา จำนวนมากอีกด้วย

3. เกาะลอยศรีราชา เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ริมฝั่งอำเภอศรีราชา มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม เหมาะที่จะมานั่งเล่น กินลมชมวิวดูพระอาทิตย์ตก และยังมีร้านอาหาร ให้ท่านนั่งกินอาหารและอาหารทะเลสดสดจากร้าน หากท่านต้องการเดินทางต่อ ไปยังเกาะสีชังก็สามารถขึ้นได้ที่ท่าเรือเกาะลอยได้เช่นกัน

4. สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นสวนสัตว์เปิด ที่ท่าน สามารถ เช่ารถกอล์ฟ ขับเพื่อไปชมธรรมชาติดูสัตว์ชิวๆจำนวนมากมาย เหมาะที่จะเดินทางมาเป็นครอบครัวหรือกับแฟนเพื่อที่จะมาดูสวนสัตว์เปิดแห่งนี้

5. สวนเสือศรีราชา มีเสือโคร่ง กว่า 400 ตัว และยังมีการจัดโชว์เสือ อย่างอลังการ จนต้องทึ่งกับความสามารถของเสือ และยังมีสัตว์ชนิดอื่นๆเช่นจระเข้ ช้าง เป็นต้น

6. สะพานอัษฎางค์เกาะสีชัง สะพานไม้สีขาวที่สร้างขึ้นตั้งแต่รัชกาลสมัยที่ 5 เป็นสะพานไม้ที่ยื่นไปในทะเลเหมาะแห่งการถ่ายรูปสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นคู่และมาเป็นครอบครัว

7. ฟาร์มแกะพัทยา เป็นฟาร์มแกะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเหมาะสำหรับที่จะมานั่งทำกิจกรรมเป็นครอบครัวขี่ม้า นั่งรถลาก หรือเครื่องเล่น สำหรับเด็กๆมากมาย บรรยากาศ ติดชายทะเลที่ร่มรื่น ลองแวะมาเที่ยวกันดูนะครับ

สำหรับใครที่มาเที่ยวจังหวัดชลบุรี แล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มไปที่ไหนก่อนหรือจะพัก ที่ไหนที่ราคาถูกและไม่แพง ท่านสามารถโทรมาสอบถามหรือปรึกษากับเราได้ไม่จำเป็นว่าจะต้อง รับจ้างขนของ อย่างเดียวเพียงเท่านั้นเพราะเรามีบริการข้อมูลการท่องเที่ยวให้กับลูกค้าแค่ท่านโทรเข้ามาสอบถามกับ ทีมงานรถรับจ้างขนของจังหวัดชลบุรี ของเราได้


บริการด้วยใจ ให้แต่ความจริงใจ ราคาเบาๆ

ตลอดระยะเวลาในการให้บริการลูกค้า งาน รถรับจ้างขนของจังหวัดชลบุรี ของเรา ไม่เคยเจอปัญหาว่าทำสินค้าลูกค้าแตกเสียหาย เพราะว่าทุกงานบริการเราให้ความใส่ใจในรายละเอียดใส่ใจในสินค้าและใส่ใจในความรู้สึกของลูกค้าเพราะเรารู้ดีว่า การที่ลูกค้าจ้างให้เราขนย้ายของให้นั่นคือเขาให้ความหวังแบบไว้วางใจต่อเรา ดังนั้นเราจึงต้องให้ความไว้วางใจตอบกลับลูกค้าด้วยการเป็นผู้ขนย้ายที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อลูกค้า จึงไม่แปลกใจเลยว่าทั้ง

รถกระบะรับจ้างจังหวัดชลบุรี รถ6ล้อรับจ้างจังหวัดชลบุรี และ รถรับจ้างขนของทั่วไป จึงเป็นที่หนึ่งในใจของคนชลบุรีและจังหวัดโดยรอบ รวมทั้งภาคตะวันออก เราให้บริการวิ่งขนย้ายของทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดทั่วประเทศไทยไม่ว่าท่านต้องการจะขนย้ายของไปยังจังหวัดไหนไปที่ใด ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานอะไรเราพร้อมให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมงมีฝ่ายดูแลลูกค้าและติดตามงานให้กับลูกค้า ตลอดทุกช่วงเวลา ท่านสามารถตรวจเช็คได้ตลอด เรามีข้อมูลตอบให้ท่านได้เลยทันที สุดท้ายนี้เราต้องขอขอบคุณลูกค้าที่น่ารักทุกท่านที่เข้ามาใช้บริการ รถรับจ้างจังหวัดชลบุรี

กับเราตั้งแต่เริ่มกิจการมาจนถึงวันนี้กว่า 10 ปีแล้วนะที่เราให้บริการงานดีๆมีคุณภาพและราคาถูก เราต้องขอขอบคุณลูกค้าอย่างสุดซึ้งที่ให้โอกาสเรามาตั้งแต่วันนั้น ทั้งลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการซ้ำและลูกค้าใหม่ที่เข้ามาใช้บริการเราอยู่ตลอดเวลาขอบคุณจากใจขอบคุณจริงๆขอบคุณมากครับ

หน้า: [1] 2 3 ... 69